คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงการที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับฎีกาภายในกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้วถึงแม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องเมื่อล่วงเลยระยะเวลาฎีกาไปแล้วก็เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดเบอร์ 12 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับกับกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 3 นัดใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายและพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม พ.ศ. 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,371 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง), 72(ที่ถูกมาตรา 72 วรรคหนึ่ง), 72 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง)ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 371 ลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมสองกระทงจำคุก 2 ปี 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 3 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามที่โจทก์ยื่นคำแก้ฎีกาคัดค้านฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเคยยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเพราะคดีต้องห้ามฎีกาตามกฎหมายการที่จำเลยมายื่นฎีกาซ้ำอีกครั้งหนึ่งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นคดต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย จะต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาก่อนหรือขณะยื่นฎีกา แต่คดีนี้ได้มีการอนุญาตให้ฎีกาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2538 อันเป็นวันเวลาที่ล่วงเลยระยะเวลาฎีกาไปแล้วย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2538ครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่ 16 พฤศจิกายน 2538 จำเลยยื่นฎีกาฉบับแรกลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาวันที่ 16 พฤศจิกายน 2538 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2538ครั้นถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2538 ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกา จำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงพร้อมกับฎีกา ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะกระทำได้ ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่าให้ส่งฎีกาพร้อมสำนวนไปให้นายปานนท์กัจฉปานันท์ ที่ศาลจังหวัดนราธิวาสเพื่อพิจารณาสั่ง วันที่ 7ธันวาคม 2538 นายปานนท์ได้มีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาของจำเลยว่า อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ดังนี้ การที่จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวพร้อมกับฎีกาภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาแล้ว ถึงแม้นายปานนท์จะสั่งคำร้องเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2538 เนื่องจากนายปานนท์ย้ายไปรับราชการที่ศาลอื่น ก็เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าควรจะลงโทษจำเลยในสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดอัตราโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 3 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายืนมานั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยได้กล่าวอ้างมาตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์โดยโจทก์มิได้แก้อุทธรณ์หรือแก้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าจำเลยมีอาชีพขายผ้าโสร่งเร่ตามหมู่บ้านและตลาดนัดภายในเขตจังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลาทั้งเงินสดและเงินผ่อนโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ในวันเกิดเหตุจำเลยได้ยืมอาวุธปืนของกลางจากเพื่อนไว้เพื่อป้องกันตัว ขณะเดินทางได้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับไปชนกับรถจักรยานยนต์ของคนอื่นในเขตท้องที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี จำเลยสลบไปอาวุธปืนของกลางตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เห็นว่า ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจำเลยมีอาชีพขายผ้าเร่ระหว่างจังหวัดปัตตานีกับจังหวัดยะลาข้อเท็จจริงในทางพิจารณาไม่ปรากฎว่าจำเลยจะนำอาวุธปืนไปใช้ในการกระทำความผิดพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดยังไม่ร้ายแรงนักเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งด้วย โดยฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับ 6,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับ 2,000 บาท รวมปรับ8,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share