แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนำสัญญากู้มาฟ้องโดยมิได้ปิดอากรแสตมป์ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จะใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้นั้น เมื่อผู้กู้รับว่ากู้เงินไปตามสัญญาที่อ้างมาจริงแล้ว ก็ไม่จำต้องอาศัยสัญญากู้เป็นหลักฐานต่อไป ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ผู้ให้กู้ได้ (เทียบฎีกาที่ 1189/2494)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๒,๐๐๐ บาท มีกำหนดเวลา ๕ ปี โดยตกลงให้โจทก์ทำนาซึ่งจำนองไว้กับนางบุญเรือนทำกินต่างดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว จำเลยให้นายถันทำนาแทนโจทก์และไม่ยอมชำระเงินคืน ขอให้บังคับจำเลยชำระพร้อมดอกเบี้ยนับจากวันฟ้อง
จำเลยให้การว่านาที่ให้โจทก์ทำต่างดอกเบี้ยเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่โจทก์อ้าง จำเลยได้ชำระเงินกู้ ๒,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์ขอสัญญากู้ซึ่งอยู่ที่นางบุญเรือนคืนจำเลย แต่โจทก์เอามาคืนให้ไม่ได้และจะเอาเงินอีก ๒,๐๐๐ บาท
ในวันนัดพร้อม จำเลยแถลงรับว่าได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างแต่ได้ชำระเงินแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้ไม่ปิดอากรแสตมป์จะนำมาเป็นหลักฐานในคดีไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานการกู้ยืมจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ซึ่งจะใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แต่จำเลยรับว่าได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญาที่โจทก์อ้างจริง แต่จำเลยได้ชำระเงินไปแล้วโดยโจทก์ไม่ทำหลักฐานให้จำเลยจึงไม่มีหลักฐานมาแสดงได้เช่นนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้องและยังไม่ได้ชำระ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐานในคดีประการใด ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๘๙/๒๔๙๔
พิพากษายืน