แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ค่าปรับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27ที่ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วนั้น หมายถึงปรับสี่เท่าของราคาของที่แท้จริงรวมกับค่าอากรที่ต้องชำระโดยไม่คำนึงว่าได้ชำระค่าอากรไปแล้วหรือไม่เพียงใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบของกลางและจ่ายเงินรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 16 กระทงจ่ายที่ 2 มีความผิดรวม 35 กระทง ให้ปรับจำเลยทั้งสองสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรตามใบขนสินค้าแต่ละฉบับ โดยให้ปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 13,889,023.90 บาท ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 2 รับผิดในค่าปรับจำนวนดังกล่าวไม่เกินวงเงิน 12,933,277.18 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ใช้ค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ให้กักขังแทนค่าปรับไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 วรรคแรกสำหรับความผิดตามใบขนสินค้าเอกสารหมาย จ.220 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และให้จ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับตามกฎหมาย ส่วนคำขออื่นนอกนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงิน13,881,994 บาท แต่ให้จำเลยที่ 2 รับผิดในค่าปรับจำนวนดังกล่าวเป็นเงิน 12,926,247.28 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้น อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ซึ่งบัญญัติในเรื่องกำหนดโทษปรับไว้ว่า”สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว” นั้น ตามบทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายว่าจะต้องปรับสี่เท่าของค่าของและค่าอากรที่ยังขาดอยู่ คดีนี้ปรากฎตามฟ้องว่า จำเลยได้ชำระภาษีอากรขาเข้าไปแล้วเป็นเงิน 563,413.73บาท เมื่อนำค่าของและค่าอากรที่ขาดอยู่ตามฟ้องแต่ละข้อมารวมกันแล้วจะได้ยอดทั้งสิ้น 1,508,009.15 บาท การพิพากษาให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรโดยไม่หักค่าอากรที่จำเลยได้ชำระไปออกก่อนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นในข้อนี้เห็นว่าคำว่า “ราคาของ” ตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายความถึงราคาของที่แท้จริง ไม่ใช่ราคาของที่สำแดงไว้ขาด ส่วนคำว่า “ค่าอากร”ก็มิได้จำกัดไว้ว่าให้คิดเฉพาะค่าอากรที่ชำระขาดไป จึงหมายถึงค่าอากรตามอัตราที่ต้องชำระโดยไม่คำนึงถึงว่าได้ชำระค่าอากรไปแล้วหรือไม่เพียงใด เพราะเป็นเรื่องกฎหมายบัญญัติให้นำราคาของกับค่าอากรมาเป็นหลักในการกำหนดอัตราโทษปรับ มิใช่เพื่อให้ผู้กระทำผิดชำระค่าอากร จึงจะแปลว่ากฎหมายมุ่งหมายให้คิดเฉพาะค่าอากรที่ยังขาดอยู่มิได้
พิพากษายืน