แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามสัญญาซื้อขายให้สิทธิโจทก์บอกเลิกสัญญาและปรับจำเลยได้ทั้งตามข้อ 8 และข้อ 9 ซึ่งข้อ 9 วรรคแรกระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกตามข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดครบกำหนดการส่งมอบตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามเป็นหนังสือไปยังจำเลย 3 ฉบับ และสงวนสิทธิที่จะปรับจำเลยเป็นรายวันจำเลยมีหนังสือขอผ่อนผันการส่งมอบรถยนต์ต่อโจทก์แต่ในที่สุดจำเลยก็ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาดังนี้ การที่โจทก์สงวนสิทธิจะปรับจำเลยนั้น เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาซื้อขาย ข้อ 9 วรรคแรก แล้วก่อนที่จะบอกเลิกสัญญา ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดสัญญาจึงต้องชำระค่าปรับให้โจทก์ตามข้อสัญญาดังกล่าว และต่อมาในระหว่างที่มีการปรับนั้นเมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามข้อ 7 กับเรียกร้องให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาตามข้อ 9 วรรคสามได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายรถยนต์ประกอบอุปกรณ์พร้อมปฏิบัติการให้แก่โจทก์จำนวน 2 คัน โดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยไม่ส่งมอบรถยนต์ทั้งสองคันตามสัญญา จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันอัตราร้อยละ 0.2 ของราคารถยนต์นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาหากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับดังกล่าวไปจนถึงวันบอกเลิกสัญญานอกจากนี้โจทก์มีสิทธิริบหลักประกันจำนวนร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของด้วย ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงใช้สิทธิปรับจำเลยและบอกเลิกสัญญากับจำเลยรวมจำนวนวันที่จำเลยต้องเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 546 วัน คิดเป็นเงินเบี้ยปรับ 2,317,224 บาท และหลักประกันที่จำเลยถูกริบคิดเป็นเงินได้ 212,200 บาท ดอกเบี้ยสำหรับเบี้ยปรับนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่30 กันยายน 2528 จำเลยทำสัญญาขายรถยนต์ประกอบอุปกรณ์พร้อมปฏิบัติการได้ซึ่งผลิตจากประเทศฝรั่งเศสเป็นรถยนต์ตราอักษร ACMAT VLRA4x4 ขนาด 1 1/4 ตัน จำนวน 2 คัน ราคาคันละ 1,061,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,122,000 บาทให้โจทก์ กำหนดส่งมอบในวันที่ 28 มีนาคม2529 รายละเอียดปรากฏตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1เมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยรวม 3 ฉบับ จำเลยมีหนังสือผ่อนผันการส่งมอบรถยนต์ต่อโจทก์รวม 4 ครั้ง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5ถึง จ.8 ครั้งสุดท้ายจำเลยยืนยันจะส่งมอบภายในวันที่ 18 กันยายน2530 แต่จำเลยก็ผิดนัด โจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยเมื่อวันที่25 กันยายน 2530 และให้จำเลยชำระเบี้ยปรับร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ ปรากฏตามเอกสารหมายจ.9 จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2530ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2) ของราคารถยนต์ที่ยังไม่ส่งมอบนับแต่วันถัดครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งหรือไม่ เห็นว่าตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและปรับจำเลยผู้ขายได้ทั้งตามข้อ 8 และข้อ 9 ซึ่งตามสัญญาซื้อขาย ข้อ 9วรรคแรกระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกตามข้อ 8ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2)ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดครบกำหนดการส่งมอบตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน การที่จำเลยผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามเป็นหนังสือไปยังจำเลย 3 ฉบับ และสงวนสิทธิที่จะปรับจำเลยเป็นรายวัน จำเลยมีหนังสือขอผ่อนผันการส่งมอบรถยนต์ต่อโจทก์รวม 4 ครั้ง แต่ในที่สุดจำเลยก็ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา เห็นว่า การที่โจทก์สงวนสิทธิที่จะปรับจำเลยนั้น เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาซื้อขาย ข้อ 9วรรคแรกแล้วก่อนที่จะบอกเลิกสัญญา ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดสัญญาจึงต้องชำระค่าปรับให้โจทก์ตามข้อสัญญาดังกล่าว และต่อมาในระหว่างที่มีการปรับนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกร้องให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสองนอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาได้อีกตามสัญญาข้อ 9 วรรค 2แต่เนื่องจากโจทก์เรียกค่าปรับมาเป็นเงิน 2,317,228 บาท นั้นสูงเกินส่วนเงินค่าปรับดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ศาลมีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์เจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นควรกำหนดเบี้ยปรับในส่วนนี้ให้โจทก์ 1,000,000 บาทและให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2530 อันเป็นวันผิดนัดตลอดไปจนกว่าจำเลยชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์เสร็จสิ้น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาว่า เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญากับริบหลักประกันตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าปรับรายวันตามสัญญาข้อ 9 ได้อีกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์เสร็จสิ้น