คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3070/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจมพลาซ่า ต่อมาจำเลยตั้งร้านค้าชื่อว่า เจ.พลาซ่า และต่างก็จำหน่ายเพชรพลอยและเครื่องประดับซึ่งเป็นสินค้าประเภทเดียวกันชื่อทั้งสองดังกล่าวคล้ายคลึงกัน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ว่า “เจ” เป็นชื่อย่อของ “เจม” และร้านจำเลยก็คือห้างของโจทก์ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาแสวงหาประโยชน์จากชื่อห้างโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์ การขายสินค้าลดลงและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาว่าห้างโจทก์มีเพียงแห่งเดียว การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ตามมาตรา 18 และมาตรา 421 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยระงับกานใช้ชื่อร้านดังกล่าวและเรียกค่าเสียหายได้
ค่าเสียหายที่โจทก์ขายสินค้าลดลงและค่าโฆษณาให้ลูกค้าทราบว่าห้างโจทก์มีเพียงแห่งเดียว เป็นค่าเสียหายเกิดจากการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยตรง จำเลยจึงต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลใช้ชื่อว่า “เจมพลาซ่า” ประกอบการค้าจำหน่ายเพชรพลอยรูปพรรณและเครื่องประดับอื่นๆ ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๘ จำเลยได้ตั้งร้านค้าใช้ชื่อว่า “เจ.พลาซ่า” ซึ่งอ่านออกเสียงคล้ายคลึงกับชื่อของโจทก์ ป้ายชื่อร้านมีตัวอักษรเขียนเลียนแบบป้ายชื่อของโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการแสวงหาประโยชน์จากชื่อของโจทก์เพื่อให้จำเลยสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นโดยอาศัยผลของการโฆษณาของโจทก์ และทำให้รายได้จากการขายของโจทก์ต้องลดน้อยลง เป็นการจงใจทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าร้านค้าของจำเลยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือมีความเกี่ยวพันกับโจทก์ โจทก์ต้องเสียค่าโฆษณาว่า “เจมพลาซ่า” มีแห่งเดียวคือโจทก์เป็นเงินหนึ่งแสนบาทเศษ การขายตกไปสองเดือนเป็นสี่หมื่นบาทเศษ รวมค่าเสียหายถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เป็นเงินสองแสนบาทเศษ โจทก์ได้มีหนังสือเรียกร้องให้จำเลยระงับการใช้ชื่อร้านว่า เจ.พลาซ่า” แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย และระงับการใช้ชื่อ “เจ พลาซ่า”
จำเลยให้การว่า ร้านค้าเพชรพลอยจำเลยชื่อ “เจ.พลาซ่า” เป็นชื่อคนละอักษรและอยู่คนละแห่งกับโจทก์ เครื่องหมายการค้าของโจทก์จำเลยก็ต่างกัน จำเลยได้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้แล้ว จำเลยตั้งชื่อร้านและใช้เครื่องหมายการค้าโดยสุจริตไม่มีทางให้ผู้อื่นหลงผิดได้ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย การค้าของโจทก์ตกมิใช่เกิดจากจำเลยฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ชื่อร้านโจทก์กับจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เจ. กับ เจม มีจำนวนตัวอักษรไม่เท่ากัน โจทก์สืบไม่ได้ว่าคำว่า “เจม” เป็นคำเฉพาะที่โจทก์คิดขึ้นใช้ก่อนและมีสิทธิไม่ให้ผู้อื่นนำไปใช้ ส่วนคำ “พลาซ่า” เป็นคำทั่วๆ ไป สาธารณชนมีสิทธิใช้ได้ การที่มีผู้เข้าใจผิดส่งจดหมายผิดร้านไปนั้นเป็นความไม่รอบคอบของผู้ส่ง จำเลยไม่ได้เลียนแบบชื่อร้านของโจทก์หรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยตั้งชื่อร้านโดยจงใจเลียนแบบชื่อห้างโจทก์เพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยจากการโฆษณาของโจทก์และจากชื่อห้างโจทก์โดยไม่สุจริต เป็นที่เสียหายแก่โจทก์ โจทก์มีสิทธิขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้จำเลยใช้ชื่อร้านของจำเลยและเรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดได้ พิพากษากลับให้จำเลยระงับการใช้ชื่อร้าน “เจ.พลาซ่า” กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๑๖ โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจมพลาซ่า ตั้งอยู่ที่ถนนเหลักข์ เขตบางรัก ส่วนจำเลยตั้งชื่อว่า “เจ.พลาซ่า” อยู่ที่สี่แยกบางกระบือ เขตดุสิต เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๘ ห้างโจทก์และร้านจำเลยจำหน่ายเพชรพลอย ฯลฯ ซึ่งเป็นสินค้าประเภทเดียวกันแล้ววินิจฉัยว่า “คำว่า “เจ.พลาซ่า” ที่ใช้เป็นชื่อร้านค้าของจำเลยนั้น คล้ายคลึงกับคำว่า “เจมพลาซ่า” อันเป็นชื่อนิติบุคคลของโจทก์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ว่า “เจ.” เป็นชื่อย่อของ “เจม” จำเลยเคยทำงานเจียรนัยเพชรพลอยมาก่อน โจทก์ได้โฆษณาสินค้าประเภทเพชรพลอยทางวิทยุและโทรทัศน์หลายครั้ง แสดงว่าการค้าของโจทก์มีรายได้ดี จำเลยย่อมจะต้องทราบ จำเลยตั้งร้านใช้ชื่อว่า “เจ.พลาซ่า” โดยขายสินค้าประเภทเดียวกับโจทก์น่าเชื่อว่ามีเจตนาแสวงหาประโยชน์จากชื่อห้างโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์ขายสินค้าลดลงทุกเดือนและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาว่าห้าง “เจมพลาซ่า”ของโจทก์มีแห่งเดียว การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์อีกด้วย กรณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๑๘ และมาตรา ๔๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยระงับการใช้ชื่อร้าน “เจ.พลาซ่า” และเรียกค่าเสียหายได้ ค่าเสียหายที่โจทก์ขายสินค้าลดลงและค่าโฆษณาให้ลูกค้าทราบว่าห้างโจทก์มีเพียงแห่งเดียวเป็นค่าเสียหายเกิดจากการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยตรง จำเลยจะอ้างว่าเป็นค่าเสียหายเกิดจากการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยตรง จำเลยจะอ้างว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share