แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1387 บัญญัติให้ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ผู้ที่จะฟ้องบังคับภาระจำยอมจึงต้องเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้ดำเนินกิจการโรงเรียนซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้เปิดทางภาระจำยอม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 538 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 5/10 ตารางวา โจทก์ที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิ มีนายวิโรจน์ เป็นผู้จัดการมูลนิธิ และเป็นผู้ดำเนินกิจการโรงเรียนเจียหมินซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ประมาณ 600 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 539 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เดิมที่ดินของโจทก์ที่ 1 กับที่ดินของจำเลยเป็นกรรมสิทธิ์ของนางบุญเฮียงหรือมุยเฮียง หรือเฮียง มารดาโจทก์ที่ 1 และจำเลย เมื่อประมาณปี 2490 ขณะที่นางเฮียงยังมีชีวิตได้ก่อตั้งโรงเรียนเจียหมินขึ้น ต่อมาจึงมีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินออกเป็นแปลงย่อยหลังจากนางเฮียงถึงแก่กรรมเพื่อแบ่งมรดกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1 จำเลย และพี่น้องคนอื่นโจทก์ที่ 1 ได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เป็นโรงเรียนเจียหมิน ซึ่งต่อมาได้โอนกิจการให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการจนถึงปัจจุบัน ในการเข้าออกโรงเรียนเจียหมินนั้น นักเรียน ผู้ปกครอง โจทก์ที่ 1 บริวารโจทก์ที่ 1 และประชาชนทั่วไปได้เดินหรือใช้รถยนต์ผ่านที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้บางส่วนไปทางทิศตะวันออกจนจดที่ดินของนายบรรชิต เพื่อออกสู่ถนนเจ้าสำอางค์อันเป็นถนนสาธารณะ มีความกว้างประมาณ 6 ถึง 11 เมตร ยาวประมาณ 33 เมตร โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันมาประมาณ 50 ปี แล้ว ตั้งแต่นางเฮียงยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งเมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน 2543 จำเลยได้สร้างประตูเหล็กกว้าง 6 เมตร ปิดกั้นทางเข้าออกด้านทิศตะวันออกและสร้างรั้วลวดหนามยาว 18 เมตร ปิดกั้นทางเข้าออกด้านทิศใต้ในที่ดินของจำเลย ทำให้โจทก์ที่ 1 พร้อมบริวาร นักเรียน ผู้ปกครอง และเพื่อนบ้านใกล้เคียง ตลอดจนประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ทางดังกล่าวเข้าออกถนนเจ้าสำอางค์ได้ และหากเกิดอัคคีภัยหรือภัยพิบัติอย่างใดแก่โรงเรียนเจียหมิน รถดับเพลิงหรือรถพยาบาลจะไม่สามารถเข้าออกได้สะดวก อันจะทำให้เกิดความเดือนร้อนเสียหายแก่นักเรียนอย่างมาก จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าทางเดินเข้าออกกว้างประมาณ 6 ถึง 11 เมตร ยาวประมาณ 33 เมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 539 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ของจำเลยตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้องหมายเลข 4 ที่ระบายด้วยสีส้มเป็นทางภาระจำยอม และมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กและรั้วลวดหนามที่เขียนด้วยหมึกสีแดงและสีม่วงในแผนที่พิพาทดังกล่าวออกโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยเพิกเฉยก็ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการแทนโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ที่ 1 มิได้เป็นผู้ใช้ทางพิพาท แต่เป็นนักเรียนโรงเรียนเจียหมินซึ่งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนโจทก์ที่ 2 มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในสามยทรัพย์ที่จะฟ้องบังคับให้เปิดทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมได้และโจทก์ที่ 2 มิได้รับมอบอำนาจจากนายวิโรจน์ ผู้จัดการเนื่องจากนายวิโรจน์ถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว นับตั้งแต่โรงเรียนเจียหมินดำเนินกิจการ นักเรียนได้ขออาศัยใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่หน้าบ้านจำเลยเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะตลอดมาโดยไม่มีพฤติการณ์เปลี่ยนเจตนาเป็นปรปักษ์อันก่อให้เกิดภาระจำยอมแต่อย่างใด ทั้งจำเลยได้ปิดประกาศโดยเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าทางพิพาทเป็นถนนส่วนบุคคลมาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภาระจำยอมโดยผลแห่งกฎหมาย ปัจจุบันจำเลยยังอนุญาตให้นักเรียนอาศัยเดินผ่านทางพิพาทโดยมิได้กั้นหรือหวงห้ามตามที่โจทก์ฟ้อง นอกจากนี้ครูโรงเรียนเจียหมินยังสามารถใช้เส้นทางด้านทิศเหนือออกสู่ทางสาธารณะได้อีกทางหนึ่งด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางเดินในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 539 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ความกว้าง 6 ถึง 11 เมตร ยาวประมาณ 33 เมตร เป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเปิดทางดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 2 เพื่อให้รถยนต์และบุคคลเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้สะดวกโดยไม่จำต้องรื้อถอนประตูเหล็กและรั้วลวดหนาม ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 และจำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยถึงแก่กรรมนางบุญช่วย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ทางเดินเข้าออกกว้างประมาณ 6 ถึง 11 เมตร ยาว 33 เมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 539 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ของจำเลยตามที่ระบายด้วยหมึกสีส้มในแผนที่พิพาทท้ายฟ้องหมายเลข 4 (เอกสารหมาย จ.6) เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองส่วนในการรื้อถอนรั้วเหล็กกั้นตามภาพถ่ายประตูทางเข้าทางพิพาทหมาย ล.1 ให้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เบญจ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1 จำเลยและนายบรรชิต เป็นบุตรของนางเฮียง และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 538, 539 และ 540 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ตามลำดับซึ่งเดิมที่ดินทั้งสามเป็นแปลงเดียวกันโดยเป็นกรรมสิทธิ์ของนางเฮียงตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 เมื่อปี 2490 นางเฮียงได้ก่อตั้งโรงเรียนเจียหมินโดยสร้างอยู่บนที่ดินด้านทิศตะวันตกมีทางเดินเข้าออกสู่ถนนเจ้าสำอางค์ไปทางทิศตะวันออกแล้วเลี้ยวไปทางทิศใต้ออกสู่ถนนเจ้าสำอางค์ โดยนางเฮียงได้แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ที่ 1 จำเลยและนายบรรชิตครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วน ต่อมาเมื่อนางเฮียงถึงแก่ความตายจึงมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 1 จำเลย และนายบรรชิตดังกล่าว โดยโรงเรียนเจียหมินอยู่บนที่ดินโฉนด เลขที่ 538 ของโจทก์ที่ 1 ส่วนทางเดินเข้าออกของโรงเรียนเจียหมินอยู่บนที่ดินของจำเลยและนายบรรชิต โจทก์ที่ 1 ดูแลกิจการโรงเรียนเจียหมินจึงถึงปี 2525 จึงโอนกิจการให้โจทก์ที่ 2 ดำเนินการ แต่มิได้โอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด โจทก์ที่ 1 ครู นักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเจียหมินใช้ทางพิพาทที่ผ่านที่ดินโจทก์ที่ 1 จำเลยและนายบรรชิตออกสู่ถนนเจ้าสำอางค์ตลอดมาเป็นเวลา 50 ปี จำเลยได้ทำประตูและรั้วลวดหนามปิดกั้นทางเข้าออกดังกล่าว ทำให้โจทก์ที่ 1 ครู นักเรียนและผู้ปกครองไม่สามารถใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางพิพาทดังกล่าวได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประเด็นแรกว่าโจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้อง หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 บัญญัติให้ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของอสังริมทรัพย์ ฉะนั้นผู้ที่จะฟ้องบังคับภาระจำยอมจำต้องเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้ดำเนินกิจการโรงเรียนเจียหมิน ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 538 ของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้เปิดทาง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า โจทก์ที่ 1 และบริวารใช้ทางพิพาทโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี หรือไม่ โจทก์ที่ 1 นำสืบว่าหลังจากนางเฮียงมารดาของโจทก์ที่ 1 ก่อตั้งโรงเรียนเจียหมินบนที่ดินของโจทก์ที่ 1 แล้วได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกโรงเรียนสู่ถนนเจ้าสำอางค์มาตลอด และนายชาญชัย พยานโจทก์ที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า จำเลยยินยอมให้โรงเรียนใช้ทางพิพาทตลอดมา นอกจากนี้นางวิจิตร ผู้จัดการมรดกของนางเฮียงและพี่สาวของโจทก์ที่ 1 จำเลยและนายบรรชิตเบิกความว่าบิดามารดาสั่งให้พี่น้องทุกคนใช้ทางพิพาทร่วมกัน รวมทั้งครูและนักเรียนด้วย บรรดาทายาทของนางเฮียงจึงทำหนังสือยินยอมให้ใช้ทางพิพาท จึงเป็นการใช้ทางพิพาทโดยอาศัยสิทธิของมารดาโจทก์ที่ 1 และสิทธิของจำเลย ทั้งโจทก์ที่ 1 มิได้นำสืบให้ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้เปลี่ยนเจตนาการใช้ทางพิพาทโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภาระจำยอมในทางพิพาทแต่อย่างใด แม้โจทก์ที่ 1 จะใช้ทางพิพาทเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 50 ปี ก็หาได้สิทธิภาระจำยอมในทางพิพาทไม่ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น กรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ