คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3058-3059/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยประสบภาวะการขาดทุนจึงเลิกจ้างโจทก์กับพวกซึ่งมีหน้าที่เป็นยาม โดยมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือเจาะจงเลิกจ้างเฉพาะโจทก์กับพวกแม้จำเลยจะมิได้ยุบเลิกกิจการยามเสียทั้งแผนก ก็จะถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหาได้ไม่
เมื่อจำเลยส่งสำเนาเอกสารต่อศาล โจทก์มิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารเหล่านั้นประการใด ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลรับฟังเอกสารนั้นได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจ่ายสินจ้างทุกวันสิ้นเดือน ซึ่งจำเลยก็ให้การดังโจทก์ฟ้อง การที่ศาลแรงงานฯฟังข้อเท็จจริงว่ากำหนดจ่ายสินจ้างทุกวันที่ 15 และทุกวันก่อนวันสิ้นเดือน จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็น หาชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นลูกจ้างประจำ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เว้นแต่โจทก์ที่ 11 ในสำนวนแรกจ่ายทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือน ส่วนโจทก์ที่ 24 และที่ 25 ในสำนวนหลังจ่ายทุกวันที่ 15 และก่อนวันสิ้นเดือน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนโดยไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49 ทำให้โจทก์ทั้งสองสำนวนได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนกาารบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองสำนวน

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนเพราะจำเลยประสบภาวะการขาดทุน จำเป็นต้องลดจำนวนยามรักษาความปลอดภัยลงเพื่อให้สามารถดำรงสถานะและให้บริการแก่ลูกค้าต่อไปได้ ซึ่งได้แจ้งสาเหตุแห่งการจะเลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบแล้วโดยปิดประกาศให้ทราบ จึงเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยชอบแล้ว การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และจำเลยได้บอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว โจทก์ทั้งสองสำนวนจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินตามจำนวนที่ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนเพราะประสบภาวะการขาดทุนน มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ในสำนวนแรกได้ลงลายมือชื่อในบันทึกหมาย ล.1 และ ล.6 ว่าจะไม่เรียกร้องเงินใด ๆ จากจำเลยอีก โจทก์สำนวนแรกจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าส่วนกรณีโจทก์สำนวนหลัง ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้งคือทุกวันที่ 15 และก่อนวันสิ้นเดือน จำเลยเลิกจ้างในวันที่ 30 ธันวาคม 2526ซึ่งเป็นวันจ่ายสินจ้าง เป็นการบอกกล่าวเลิกจ้างที่ไม่ชอบ จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าถึงวันที่ 15 มกราคม 2527 มิใช่ถึงวันที่29 กุมภาพันธ์ 2527 ตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 23 ในสำนวนหลังคนละ 1,056 บาทแก่โจทก์ที่ 24 ที่ 25 ในสำนวนหลังคนละ 1,760 บาท คำขออื่นของโจทก์ในสำนวนหลังนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนแรก

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองสำนวนยอมรับในอุทธรณ์ว่า จำเลยประสบภาวะการขาดทุนจริงและคดีได้ความต่อไปว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนแล้ว คงมียามทำหน้าที่ในปัจจุบันเพียง5-6 คนเท่านั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนโดยมีเหตุอันสมควรแล้ว ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง และมิได้เจาะจงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวน การที่จำเลยยังคงดำเนินกิจการต่อไป และมิได้ยุบเลิกกิจการยามรักษาความปลอดภัยเสียทั้งแผนก จะถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองสำนวนโดยไม่เป็นธรรมหาได้ไม่

โจทก์ในสำนวนแรกมิได้โต้เถียงว่าตนมิได้ทำบันทึกหมาย ล.1 และ ล.6ให้จำเลย เมื่อจำเลยส่งเอกสารเหล่านั้นต่อศาล โจทก์ในสำนวนแรกมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารเหล่านั้นประการใด โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์ทุกคนในสำนวนแรกยอมรับว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย ล.1 เป็นของตนเมื่อความจะถูกต้องหรือไม่มิได้โต้แย้งคัดค้านถือว่าโจทก์ที่ 1 ยอมรับว่าสำเนาเอกสารหมาย ล.1 ถูกต้องแล้ว ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารหมาย ล.1 ได้สำหรับเอกสารหมาย ล.6 โจทก์ที่ 1 มิได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงอีกเช่นกัน ศาลจึงรับฟังเอกสารนั้นได้ การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังสำเนาเอกสารหมาย ล.1 และ ล.6 หาเป็นการคลาดเคลื่อนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ไม่

โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 23 บรรยายฟ้องว่าจำเลยจ่ายสินจ้างทุกวันสิ้นเดือนและกำหนดจ่ายสินจ้างนี้จำเลยหาได้ต่อสู้เป็นอย่างอื่นไม่ กลับยอมรับว่า”โดยจ่ายค่าจ้างในวันที่ 30 ของทุกเดือน” เมื่อเช่นนี้ กำหนดจ่ายสินจ้างเมื่อใดจึงไม่เป็นประเด็น ที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า กำหนดจ่ายสินจ้างทุกวันที่ 15 และทุกวันก่อนวันสิ้นเดือน จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นหาชอบด้วยคำฟ้องและคำให้การไม่ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 23ในวันที่ 30 ธันวาคม 2526 จึงควรได้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าถึงวันที่31 มกราคม 2527 เป็นเวลา 32 วัน สมควรกำหนดสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเสียให้ถูกต้องโดยถือเอาค่าจ้างอัตราสุดท้ายคนละ 1,980 บาทเป็นเกณฑ์คำนวนซึ่งจะได้คนละ 2,112 บาท

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 23 ในสำนวนหลังคนละ 2,112 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share