คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3052/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์กับโจทก์มีข้อความว่า ตามที่จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำเลยตกลงโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์และโจทก์ตกลงรับโอนภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อนว่า การโอนสิทธิการเช่ารายนี้จะบังเกิดผลสมบูรณ์ตามกฎหมายก็ต่อเมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงิน ในการโอนสิทธิการเช่ารายนี้เมื่อผู้รับโอนตีราคาสิทธิการเช่าตามราคาทรัพย์ในท้องตลาดตามนัยแห่ง มาตรา 656 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเวลาและสถานที่ส่งมอบแล้ว หากได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยยินยอมชำระหนี้ส่วนที่ขาดแก่โจทก์จนครบ และปรากฏต่อมาว่าจำเลยผิดนัดชำระเงินกู้ตามสัญญา ดังนี้ หนี้เงินกู้เดิมซึ่งเป็นหนี้ประธานมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น มิได้มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญอันจะทำให้หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไป เพราะเมื่อตีราคาสิทธิการเช่าตามราคาทรัพย์ในท้องตลาดตามนัยแห่ง มาตรา 656 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเวลาและสถานที่ส่งมอบแล้ว หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยยินยอมชำระหนี้ส่วนที่ขาดจนครบ สัญญาโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักประกันการชำระหนี้เงินกู้ เพื่อให้โจทก์สามารถบังคับเอาชำระหนี้เงินกู้ได้เท่านั้น หาเป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อโจทก์ไม่สามารถรับโอนสิทธิการเช่าตามสัญญาเนื่องจากจำเลยอ้างว่ายังมิได้ผิดสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินและรับเงินกู้ไปจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาลำปาง ซึ่งเป็นธนาคารสาขาของโจทก์จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในวันที่ ๒๗ ของเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า ๖,๑๕๐ บาท หากผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดในจำนวนหนี้ทั้งหมดยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับชำระหนี้จนครบถ้วน จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์อีก ๔๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อตกลงตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันอย่างเดียวกับการกู้ครั้งแรกจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาต่อโจทก์ตลอดมา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้ว แต่ไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้๑๔๕,๒๒๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่าได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้อง แต่มิได้ผิดสัญญาจำนวนหนี้ที่ฟ้องไม่ถูกต้อง หนี้ตามฟ้องมีการแปลงหนี้ใหม่แล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ไม่มีต่อกันแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๔๕,๒๒๙ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินจากโจทก์และผิดนัดชำระหนี้เงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ๑๔๕,๒๒๙บาท และต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๓๘,๗๐๕.๔๗ บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวโดยยอมตนเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่จะชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยรายนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่ากับโจทก์ตามเอกสารท้ายคำให้การจำเลยที่ ๑ โดยตกลงว่าถ้าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระหนี้เงินกู้รายนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยินยอมโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ตามที่ระบุในสัญญาให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระเงินกู้แก่โจทก์ ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า สัญญาโอนสิทธิการเช่าท้ายคำให้การจำเลยที่ ๑ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ สำหรับหนี้เงินกู้รายพิพาท เป็นเหตุให้หนี้เงินกู้รายพิพาทระงับไปแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้วจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินรายพิพาทให้โจทก์ ๒ ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ ๒๗มิถุนายน ๒๕๒๐ ตามเอกสารหมาย จ.๑ ฉบับที่สองลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ตามเอกสารหมาย จ.๓ ตามสัญญาทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวข้อ ๙ มีข้อความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๑ ผู้กู้ยินยอมมอบสิทธิในสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นของนายฉอ้อน เปี่ยมมณี จำเลยที่ ๒ (โดยจำเลยที่ ๒ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ทำนิติกรรมโอนได้) ให้โจทก์ผู้ให้กู้ไว้เป็นประกันจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระหนี้ทั้งปวงเสร็จสิ้น ต่อมาวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ จึงทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ดังกล่าวให้โจทก์ตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยที่ ๑ ซึ่งตรงกับต้นฉบับเอกสารหมาย จ.๑๐โดยจำเลยที่ ๑ ได้สิทธิเป็นผู้เช่าโดยสมบูรณ์จากนายฉอ้อน เปี่ยมมณี จำเลยที่ ๒ แล้วตามสัญญาดังกล่าวข้อ ๑ มีข้อความว่า ตามที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโจทก์เอกสารหมาย จ.๑, จ.๓ จำเลยที่ ๑ ตกลงโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์และโจทก์ตกลงรับโอนภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อน กล่าวคือ การโอนสิทธิการเช่ารายนี้จะเกิดผลสมบูรณ์ตามกฎหมายก็ต่อเมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ข้อ ๒ มีข้อความว่า ในการโอนสิทธิการเช่ารายนี้เมื่อผู้รับโอนตีราคาสิทธิการเช่าตามราคาทรัพย์ในท้องตลาดตามนัยแห่งมาตรา ๖๕๖ ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเวลาและสถานที่ส่งมอบแล้ว หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ ๑ ตกลงยินยอมชำระหนี้ส่วนที่ขาดให้แก่ผู้รับโอนจนครบปรากฏว่าต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระเงินกู้ตามสัญญาดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาโอนสิทธิการเช่ารายนี้เป็นเพียงหลักประกันแก่โจทก์เท่านั้น หนี้เงินกู้เดิมซึ่งเป็นหนี้ประธานมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น มิได้มีการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะทำให้หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแต่ประการใด เพราะแม้สัญญาโอนสิทธิการเช่าจะระบุว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระเงินกู้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยินยอมโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ที่ระบุในสัญญาให้แก่โจทก์ แต่สัญญาโอนสิทธิการเช่าข้อ ๒ ก็ระบุว่า ในการโอนสิทธิการเช่ารายนี้ เมื่อโจทก์ผู้รับโอนตีราคาสิทธิการเช่าตามราคาทรัพย์ในท้องตลาดตามนัยแห่งมาตรา ๖๕๖ ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเวลาและสถานที่ส่งมอบแล้ว หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ซึ่งรวมทั้งดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จำเลยที่ ๑ ผู้โอนตกลงยินยอมชำระหนี้ส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์ผู้รับโอนจนครบ สัญญาโอนสิทธิการเช่าจึงเป็นเพียงหลักประกันการชำระหนี้เงินกู้ เพื่อให้โจทก์สามารถบังคับเอาชำระหนี้เงินกู้ได้ซึ่งหาทำให้กลายเป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อโจทก์ไม่สามารถรับโอนสิทธิการเช่าตามสัญญาดังกล่าวแล้วได้เนื่องจากจำเลยที่ ๑ อ้างว่าตนยังมิได้ผิดสัญญา จำเลยทั้งสองก็ต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยรายนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share