คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำฟ้องในแต่ละกรรมที่โจทก์หาว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ไม่มีข้อความอันแสดงความหมายเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังอย่างไรซึ่งศาลจะได้หยิบยกขึ้นพิจารณาได้ โดยเฉพาะโจทก์เพียงแต่บรรยายสรุปว่า ข้อความทั้งหมดเป็นความเท็จทั้งสิ้น ทำให้ประชาชนคนอ่านไม่ทราบความจริงเข้าใจว่าโจทก์มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศโดยไม่มีข้อความตอนใดยืนยันข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีความสัมพันธ์ทางเพศกับ ส.ซึ่งเป็นกระเทย เมื่อฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
โจทก์บรรยายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในมูลละเมิดอันเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญามาด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีในส่วนอาญาเสียแล้วย่อมไม่มีอำนาจรับคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา จึงต้องมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่งและคืนค่าธรรมเนียมแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 151

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการจัดพิมพ์โฆษณา จำหน่ายและเผยแพร่ข่าวสารทางหนังสือพิมพ์โดยเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ ข. จำเลยที่ 2ถึงที่ 6 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ข. ด้วย เมื่อระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2542 ถึงวันที่ 15กรกฎาคม 2542 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมโดยจำเลยทั้งหกร่วมกันใส่ความโจทก์ด้วยการโฆษณาต่อประชาชนในหนังสือพิมพ์ ข.รวม 31 ฉบับ คือ ฉบับประจำวันที่ 3 มิถุนายน 2542 มีใจความว่าโจทก์นำเงินให้นาย ส. หรือครูเก๊ก หรือน้องเก๊ก ซึ่งมีนิสัยใจคอกระเดียดไปทางเพศหญิง และสนิทสนมกับโจทก์มานานกว่า 20 ปี ไปทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ ภายหลังน้องเก๊กประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ทำให้น้องเก๊กถูกโจทก์ฟ้องในคดีเช็คหลายคดีจำนวนเงิน 1,000,000 บาท น้องเก๊กต้องทยอยขายทรัพย์สินเพื่อรวบรวมเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ฉบับประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า โจทก์ให้สัมภาษณ์ว่ารู้จักนายเก๊กและให้ยืมเงิน 1,000,000 บาท แต่นายเก๊กนำเงินไปเลี้ยงดูผู้ชายไม่ได้นำเงินไปทำธุรกิจเงินกู้ และในวันเดียวกันน้องเก๊กเปิดเผยว่าไม่ได้นำเงินไปปรนเปรอผู้ชาย แต่นำเงินไปปล่อยกู้เพื่อช่วยเหลือโจทก์ โจทก์เปลี่ยนไปจากคนเดิมมาก ช่วงนี้กำลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำงาน ฉบับประจำวันที่ 5มิถุนายน 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กยืนกรานไม่เคยนำเงินไปปรนเปรอผู้ชายและท้าให้โจทก์ออกโทรทัศน์ประจันหน้ากันทั้งยังมีคำให้สัมภาษณ์ของนายบุญมี โสภัง แกนนำสมัชชาคนจนและที่ปรึกษาสมัชชาลุ่มน้ำมูลว่า เห็นภาพน้องเก๊กถ่ายคู่กับโจทก์บอกได้เลยว่าโจทก์เป็นคนเช่นไรประชาชนทั้งประเทศเห็นภาพก็คงรู้ว่าโจทก์ชอบอย่างไร ฉบับประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2542มีใจความว่า ครูเก๊กกล่าวว่าเงินของโจทก์ทั้งหมดนำไปปล่อยกู้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่งดอกผลให้ตลอด ขอให้โจทก์นึกถึงความหลังที่ประทับใจครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2519เวลา 14 นาฬิกา ในบ้านพัก…..ของโจทก์ เมื่อก่อนเก๊กกับโจทก์สนิทกันมาก ถึงขนาดอยู่บ้านเดียวกันสามารถนำรถตำรวจไปใช้ได้ฉบับประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กย้ำเหตุการณ์วันแรกพบในบ้านพักของสารวัตรใหญ่นั้นประทับใจมากรสชาติเหมือนแลคตาซอย ตอนนี้โจทก์ไม่เคยมาดูดำดูดี ไม่เหมือนสมัยโจทก์อยู่นาแก ฉบับประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2542 มีใจความว่าน้องเก๊กผวาภัยมืด รู้สึกหวาดกลัวมากมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามข่มขู่ให้หยุดการให้สัมภาษณ์เด็ดขาด ฉบับประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2542มีใจความว่า ซุ้มมือปืนดังแอบอ้างรูปโจทก์ที่แจกจ่ายกลุ่มเพื่อใส่กรอบโชว์กลางบ้าน ฉบับประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2542 มีใจความว่าน้องเก๊กให้สัมภาษณ์ถึงภาพที่นั่งเกาะขาโจทก์ว่า เป็นการบีบนวดให้โจทก์ที่หน้าห้องนอนบ้านพักโจทก์ เมื่อน้องเก๊กไขปริศนาของคำถามเรื่องแลคตาซอยสามารถเรียกเสียงเฮฮาลั่นห้อง ฉบับประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กตอบพิธีกรรายการสายตรงไอทีวีว่า โจทก์บอกให้นำเงินไปปล่อยกู้จำนวน 1,000,000 บาท เพราะไม่มีรายได้พิเศษให้ปล่อยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 บาทโดยโจทก์ได้อัตราร้อยละ 3 บาท ส่วนน้องเก๊กได้อัตราร้อยละ 2 บาทฉบับประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กโดนมือมืดโทรศัพท์ขู่อุ้มจนต้องหลบภัยเข้ากรุงเทพฯ น้องเก๊กยืนยันว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละ 3 ฉบับ ประจำวันที่ 13 มิถุนายน 2542มีใจความว่า แลคตาซอยคืออะไร ต้นตอคำนี้มาจากกรณีที่น้องเก๊กย้อนเหตุการณ์วันแรกอันประทับใจกับโจทก์ว่า รสชาติหวานมันยังกับแลคตาซอย ฉบับประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2542 มีใจความว่าโผล่อีกรูปดาราสาวเซ็กซ์บอมบ์นั่งตักโจทก์ น้องเก๊กร้องขอความเป็นธรรมที่ถูกโจทก์ฟ้องร้องคดีเช็คถึง 1,000,000 บาท ทั้งที่เคยสนิทกันลึกซึ้ง ความจริงแล้วทำธุรกิจร่วมกันก็ต้องร่วมกันรับผิดฉบับประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างน้องเก๊กกับโจทก์ น้องเก๊กตอบว่าใช้สายตามองรูปในหนังสือพิมพ์แล้วใช้วิจารณญาณเอาเองว่าเป็นอย่างไร คนเราตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าแลคตาซอยหมายความว่าอย่างไร น้องเก๊กยิ้มแล้วกล่าวเป็นนัยว่า คืนวันนั้นฝนตกและรถก็เสียด้วย ฉบับประจำวันที่ 16มิถุนายน 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กแฉโดนดาราสาวเซ็กซ์บอมบ์โทรศัพท์ขู่หาว่าเป็นคนให้ข่าวนั่งตักโจทก์ แหล่งข่าวระดับสูงซึ่งใกล้ชิดกับพลตรี ส. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า พลตรี ส. เริ่มอึดอัดกับการทำงานของโจทก์ ระยะหลังผลงานไม่ดี คดีสำคัญหลายคดีไม่คืบหน้าน้องเก๊กเฉลยแลคตาซอยมันเกิดขึ้นเมื่อไปเก็บดอกเบี้ยกับโจทก์ รถจักรยานยนต์น้ำมันหมด เลยเติมแลคตาซอยแทนฉบับประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า สมาชิกกลุ่ม….. ถูกโจทก์แจ้งข้อหาฉ้อโกงเงินกู้ 2,200,000 บาทเศษ น้องเก๊กร้องขอความเป็นธรรมว่าถูกโจทก์กล่าวหาฉ้อโกงเงิน 1,000,000 บาทเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ใช้ทำธุรกิจเงินกู้ แบ่งรายได้กันโดยโจทก์รับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ทั้งยังมีคำให้สัมภาษณ์ของนายบุญมีว่าจากการที่ได้ติดตามข่าวมาโดยตลอดก็พอจะรู้ว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ล้ำลึกหวานมันเหมือนแลคตาซอยกับน้องเก๊กเพียงใด ฉบับประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2542 มีใจความว่า เก๊กจี้สภาสอบโจทก์ให้เงินกู้มูลนิธิที่ผ่านมาเก๊กเคยมีอะไรกับโจทก์หรือไม่ ให้วิเคราะห์เอาเองเพราะเคยพูดหลายครั้งแล้ว ฉบับประจำวันที่ 22 มิถุนายน 2542มีใจความว่า โจทก์เปิดศึกด่าเก๊ก เพิ่ม 50 คดียอดฟ้องข่าวสดน้องเก๊กกล่าวว่าเมื่อปลายปีก่อนใครเป็นคนวางแผนให้ไปทวงหนี้จากลูกหนี้ด้วยวิธีพิสดาร โดยทำทีไปขอยืมรถปิกอัพของลูกหนี้คนหนึ่งแล้วให้ขับหนีเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเป็นการกดดันเจ้าของรถ จนกระทั่งต้องมาเจรจาจ่ายหนี้สินจึงได้รถคืน ฉบับประจำวันที่ 29 มิถุนายน2542 มีใจความว่า ตีแผ่อินเตอร์เน็ตเก๊กดังทั่วโลก ให้ชาวเกย์ทั่วโลกรับรู้ปัญหาน้องเก๊กที่โดนดูหมิ่นเหยียดหยาม ฉบับประจำวันที่ 30มิถุนายน 2542 มีใจความว่า เก๊กโต้ผู้จัดการแบงก์ ชี้หากสนิทกันจริงต้องรู้ว่าเวลานอนด้วยกันเก๊กนอนข้างซ้ายหรือข้างขวา ตอนอยู่กับโจทก์ที่บ้านพัก เก๊กมีความเป็นอยู่ที่ดี มีอภิสิทธิ์ทุกอย่าง มีคนบางคนคอยเอาใจใส่ ฉบับประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กเตรียมฟ้องโจทก์กับผู้จัดการแบงก์ข้อหาหมิ่นประมาทฉุนโดนต่อว่าต่ำชั้น เนรคุณ ฉบับประจำวันที่ 2 กรกฎาคม 2542มีใจความว่า คณะกรรมาธิการปกครองยื่นหนังสือจี้นายกรัฐมนตรีสอบพฤติกรรมโจทก์อย่างเร่งด่วนที่ไม่ยอมมาชี้แจงเรื่องต่าง ๆตามคำเชิญ ฉบับประจำวันที่ 5 กรกฎาคม 2542 มีใจความว่ายังไม่เห็นมีใครจัดการเยียวยารักษาตำรวจเล็บแดงที่ป่วยทางจิตในอนาคตจะต้องปั้นอนุสาวรีย์ตำรวจใหม่ มีสาวสะบึมนั่งตักตำรวจและหนุ่มสวยนั่งเกาะขา ฉบับประจำวันที่ 7 กรกฎาคม 2542มีใจความว่า น้องเก๊กให้สัมภาษณ์ไม่เคยให้ข่าวโจมตีโจทก์หนังสือพิมพ์ข่าวสดเขียนข่าวเองทั้งหมดเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้โจทก์ก็ไม่เคยเก็บ แถมเรื่องแลคตาซอยก็เป็นแค่นมกล่องธรรมดาฉบับประจำวันที่ 8 กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า น้องเก๊กครูประเทืองคนดังหันมาจูบปากคืนดีกับโจทก์ พร้อมให้สัมภาษณ์แบบกลับหลังหันกล่าวหาหนังสือพิมพ์ ข. เขียนข่าวโจมตีโจทก์ตามอำเภอใจโดยไม่ได้ให้ข่าวเลย ฉบับประจำวันที่ 9 กรกฎาคม2542 มีใจความว่า ประชาชนทั่วประเทศต้องอยากรู้อย่างแน่นอนคำพูดไหนของนาย ส. ที่เป็นเรื่องจริง และเรื่องใดที่เป็นเรื่องเท็จยังไงก็อวยพรให้เรื่องระหว่างครูเก๊กกับโจทก์จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งฉบับประจำวันที่ 10 กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า โจทก์ชิงลาออกจากหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบโต๊ดเถื่อนสนามม้า หลังบอร์ดสนามม้าปทุมวันมีมติให้เปลี่ยนตัวเพราะรายได้ลดถึงขั้นขาดทุนนัดละหลายแสนบาท กรรมการสนามอนุมัติให้ออกได้ทันทีฉบับประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า จากกรณีเรื่องอื้อฉาวหลาย ๆ เรื่องของโจทก์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครูเก๊กนาย ส. หรือ อ. ที่ออกมายอมรับว่าเป็นคนในภาพที่นั่งตักโจทก์โจทก์ยังเป็นกรรมการอำนวยการแข่งม้าโดยฝ่าฝืนระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉบับประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2542มีใจความว่า จากกรณีเรื่องอื้อฉาวหลาย ๆ เรื่องของโจทก์ไม่ว่าเป็นเรื่องครูเก๊ก หรืออ๋อยสมาชิกสามบอมบ์ที่ออกมารับว่าเป็นคนในภาพนั่งตักโจทก์และล่าสุดหลุดพ้นจากหัวหน้าทีมเฉพาะกิจปราบโต๊ดเถื่อนสนามม้า โจทก์ยังฝ่าฝืนระเบียบกรมตำรวจเป็นกรรมการแข่งม้าตั้งแต่กลางปี 2540 ฉบับประจำวันที่ 13กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า โจทก์รับเงินรางวัลปราบโต๊ดเถื่อนสนามม้าราว 60,000,000 บาท ก่อนตัดสินใจออก ฉบับประจำวันที่ 14 กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า โจทก์มีชื่อในนิตยสารนู้ด”ที่นี่บันเทิง” เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และฉบับประจำวันที่ 15กรกฎาคม 2542 มีใจความว่า โจทก์ถูกสอบเรื่องเป็นกรรมการอำนวยการแข่งม้าโดยฝ่าฝืนระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตกเป็นข่าวอื้อฉาวไม่หยุดทั้งเรื่องไปคืนดีกับครูเก๊ก เรื่องที่ อ.ออกมายอมรับว่าเป็นคนในภาพนั่งตักโจทก์ ข้อความดังกล่าวทั้งหมดเป็นความเท็จทั้งสิ้น เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของโจทก์โดยแท้ ทำให้ประชาชนคนอ่านที่ไม่ทราบความจริงเข้าใจว่าโจทก์มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ มีความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งหกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 150,000,000บาท เหตุเกิดที่ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดทั่วประเทศขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326,328, 91, 90, 83, 84 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484มาตรา 4, 48 ให้จำเลยทั้งหกโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์แนวหน้า มติชน ไทยรัฐ ไทยโพสต์ ข่าวสดเดลินิวส์ สื่อธุรกิจการเมือง สยามรัฐ พิมพ์ไทย บางกอกโพสต์เดอะเนชั่นและบ้านเมือง ในหน้าหนึ่งขนาดความกว้าง 4 นิ้วยาว 8 นิ้ว มีกำหนด 30 วัน ติดต่อกันโดยจำเลยทั้งหกเป็นผู้ออกค่าโฆษณา ให้ยึดและทำลายหนังสือพิมพ์ข่าวสดตามฟ้องทั้งหมด ห้ามจำเลยทั้งหกเป็นผู้ออกค่าโฆษณา ให้ยึดและทำลายหนังสือพิมพ์ข่าวสดตามฟ้องทั้งหมด ห้ามจำเลยที่ 2 ประกอบอาชีพนักหนังสือพิมพ์ ให้จำเลยทั้งหกชำระเงิน 150,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและในศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าฟ้องโจทก์มีสาระสำคัญสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายแยกการกระทำของจำเลยเป็น 31 ข้อ แต่ละข้อวันเวลาเกิดเหตุต่างกัน กล่าวหาจำเลยทั้งหกร่วมกันใส่ความโจทก์ด้วยการโฆษณาต่อประชาชนในหนังสือพิมพ์รายวันข่าวสดเป็นจำนวน 31 ฉบับรวม 31 วัน ข้อความแต่ละวันไม่เหมือนกัน เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกันจำนวน 31 กรรม ศาลฎีกาพิจารณาข้อความตามฟ้องและสำเนาหนังสือพิมพ์ ข. ในแต่ละกรรมที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งหกหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่ปรากฏมีข้อความอันแสดงความหมายชัดแจ้งจะพึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการใส่ความ ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าในแต่ละกรรมข้อความตอนใดจะมีความหมายเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังอย่างไร ซึ่งศาลจะได้หยิบยกขึ้นพิจารณาได้โดยเฉพาะ โจทก์เพียงแต่บรรยายสรุปตอนท้ายคำฟ้องว่า ข้อความทั้งหมดเป็นความเท็จทั้งสิ้นทำให้ประชาชนคนอ่านไม่ทราบความจริงเข้าใจว่าโจทก์มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศโดยไม่มีข้อความตอนใดยืนยันข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนาย ส. ซึ่งเป็นกระเทยโดยการเสพสังวาสหรือร่วมเพศ หรือร่วมกระทำชำเรากันทางทวารหนักหรือเวจมรรคหรือให้นาย ส. ใช้ปากหรือลิ้นประกอบกามกิจต่ออวัยวะเพศของโจทก์ฯลฯ ดังที่โจทก์บรรยายมาอย่างมากมายยืดยาวในฎีกา ความผิดฐานหมิ่นประมาทต้องเป็นการใส่ความยืนยันข้อเท็จจริงให้คนอ่านคนฟัง คนเห็นเชื่อจึงจะเกิดความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชัง เมื่อฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องสรุปตอนท้ายว่า จำเลยทั้งหกใส่ความโจทก์ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงเฉพาะเรื่องโจทก์มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ข้อที่โจทก์อุทธรณ์และฎีกาต่อมาว่าจำเลยทั้งหกใส่ความโจทก์ในเรื่องการนอกใจภริยา มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ น. เรื่องการปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือเรื่องผลประโยชน์ในสนามม้านั้น จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องทั้งสิ้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นแต่เนื่องจากโจทก์บรรยายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหกในมูลละเมิดอันเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญามาด้วยกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีอาญา เมื่อพิพากษายกฟ้องคดีในส่วนอาญาเสียแล้วย่อมไม่มีอำนาจรับคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา จึงต้องมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่งและคืนค่าธรรมเนียมแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151เมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในคดีส่วนแพ่ง ส่วนศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเฉพาะเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับแก่โจทก์โดยยังมิได้มีคำสั่งคำฟ้องส่วนแพ่งเช่นกัน กระบวนการพิจารณาในคดีส่วนแพ่งที่ศาลล่างทั้งสองปฏิบัติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งในคดีส่วนแพ่งไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งใหม่”

พิพากษายืน ให้ยกฟ้องคดีส่วนอาญา และไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลแก่โจทก์ จำเลยทั้งหกไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความในชั้นฎีกาให้

Share