คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่ถือว่าคำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยไม่ขัดแย้งกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเจตนาทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ ซึ่งโจทก์เช่ามาจากสำนักงานทรัพย์สินโดยจำเลยตั้งโรงเรียนชื่อปฐมวิทยาในที่ดินที่โจทก์เช่า ขอให้จำเลยรื้อถอนและเรียกค่าเสียหาย ฯลฯ

จำเลยให้การว่า โรงเรียนปฐมวิทยานี้โจทก์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นโดยโจทก์รับโอนกิจการของโรงเรียนกงสิบเอ็กเซียงมาดำเนินการแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโรงเรียนปฐมวิทยาโจทก์ได้ไปขอเช่าที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยเช่าต่อจากคนจีนซึ่งเช่าทำไรผักแล้วปลูกสร้างอาคารเรียนขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2502 ต่อมาในพ.ศ. 2503 โจทก์ได้ขายกิจการและทรัพย์สินทั้งหมดของโรงเรียนให้แก่นายมานพ นายมานพไม่มีทุนพอดำเนินการไปโดยลำพัง จึงได้เรียกจำเลยมาร่วมลงทุน ใน พ.ศ. 2506 โจทก์ไปทำสัญญาเช่าที่ดินที่ตั้งโรงเรียนโดยตรงจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบว่าที่โจทก์ไปทำสัญญาเช่ามานั้น เพราะโจทก์เป็นผู้ริเริ่มตั้งโรงเรียน ใคร่จะเป็นผู้อุปการะโรงเรียน โดยเป็นผู้เช่าที่ดินและออกค่าเช่าเองเป็นการช่วยเหลือทางโรงเรียนให้มีกำลังดำเนินการไปด้วยดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องที่เช่าและค่าเช่าในพ.ศ. 2507 กิจการและทรัพย์สินทั้งหมดของโรงเรียนได้โอนมาเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงติดต่อกับโจทก์ขอให้โจทก์โอนสิทธิการเช่าให้ แต่โจทก์ไม่ยอม และไม่ยอมรับเงินค่าเช่า คงยืนยันจะเป็นผู้เช่า เพื่อเป็นผู้อุปการะโรงเรียนต่อไป ต่อมาใน พ.ศ. 2509 โจทก์จะเอาโรงเรียนกลับคืนเป็นของโจทก์อีก ขอซื้อคืนจากจำเลยในราคาที่ขายให้นายมานพ จำเลยไม่สามารถขายคืนให้ในราคานั้นได้เพราะจำเลยลงทุนเพิ่มเติมไปอีกมากได้มีการสร้างอาคารเพิ่มใหม่อีกหลังหนึ่ง กิจการก็ขาดทุนตลอดมา โจทก์ซื้อคืนไม่ได้จึงหาทางขับไล่จำเลย โจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ไปเช่าที่ดินภายหลังที่ได้โอนโรงเรียนมาให้จำเลยแล้ว จำเลยมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ มูลการเช่าของโจทก์ทำให้จำเลยเข้าใจว่า เช่าเพื่อให้จำเลยดำเนินกิจการโรงเรียนอันเป็นสาธารณประโยชน์ การฟ้องขับไล่ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต เพราะจำเลยไม่มีทางรื้อถอนโรงเรียนไปได้ เพราะไม่สามารถหาที่ดินขนาดเดียวกันได้

จำเลยได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การ ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยขอเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการโรงเรียนปฐมวิทยาจริง ที่ดินที่ตั้งโรงเรียนเป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ได้ให้นายซ้งฮง แซ่ตัน และนายเอี่ยมคุณ แซ่ลิ้ม เช่าทำสวนครั้นโรงเรียนย้ายมาตั้งในที่ดินที่นายซ้งฮงและนายเอี่ยมคุณเช่าทำสวนนายซ้งฮงและนายเอี่ยมคุณก็ได้มอบที่ดินให้ตั้งโรงเรียนเพื่อเป็นกุศลสาธารณะส่วนตนเองเพียงใช้ที่ดินปลูกบ้านอาศัยอยู่คนละส่วนเล็กน้อยเท่านั้น โรงเรียนได้เปลี่ยนเจ้าของและผู้จัดการตลอดมาจนถึงจำเลยทั้งสองนายซ้งฮงและนายเอี่ยมคุณก็ยังคงมอบที่ดินให้จำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโรงเรียนจนกระทั่งบัดนี้ ส่วนตนเองคงครองที่ดินโดยสิทธิการเช่าจนปัจจุบันนี้ โจทก์ได้เช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาโดยมิได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบ โจทก์ไม่เคยเข้ามาครอบครองใช้สิทธิการเช่าในที่ดินแต่อย่างใดการดำเนินกิจการโรงเรียนของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่ไม่ได้ จำเลยทั้งสองไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยขัดแย้งกัน จำเลยจึงไม่มีประเด็นจะสืบได้ นอกจากเรื่องค่าเสียหายเท่านั้น ให้จำเลยนำสืบต่อสู้ได้เพียงประเด็นค่าเสียหายอย่างเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ ส่งที่ดินคืนโจทก์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การเดิมกับคำให้การเพิ่มเติมไม่ขัดแย้งกัน ทั้งศาลชั้นต้นก็ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยให้การเพิ่มเติมให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยนำพยานมาสืบตามประเด็นแล้วพิจารณาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ในประเด็นที่ว่า คำให้การเดิมกับคำให้การเพิ่มเติมขัดแย้งกันหรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำให้การเดิมและคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยแล้วเห็นว่ามิได้เป็นคำให้การที่ต่อสู้ขัดแย้งกันแต่อย่างใดเลย เพราะคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยมิได้เปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้อันเป็นข้อสารสำคัญแต่ประการใด เพียงแต่ขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น คำให้การต่อสู้คดีของจำเลยก็ยังคงอยู่ในประเด็นเดิมที่ว่า โจทก์ได้สิทธิการเช่าที่พิพาทมาภายหลังที่จำเลยได้เป็นเจ้าของโรงเรียนแล้ว และโจทก์ไม่เคยใช้สิทธิในที่พิพาทซึ่งโจทก์เพิ่งเช่ามาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย นอกจากนั้นยังปรากฏตามคำให้การเพิ่มเติมซึ่งศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยเพิ่มเติมคำให้การได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตซึ่งในปัญหาดังกล่าวศาลชั้นต้นก็ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเหล่านั้นเลย ตามรูปคดีจำเลยจึงมีประเด็นที่จะนำสืบได้

พิพากษายืน

Share