แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติเอกชนจะอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ในที่ของวัดไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่มีโฉนด 1 แปลงอยู่ที่ตำบล (โตนด) เทวราช อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทองเนื้อที่ 2 งาน 38 วา ทิศเหนือติดวัดประสาท ทิศใต้ติดถนนวัดสุขเกษมทิศตะวันออกติดวัดสุขเกษมทิศตะวันตกติดที่นายอ่อน นางสิน ซึ่งได้รับซื้อมาจากนางทองใจ โดยได้ทำหนังสือซื้อขายกันที่อำเภอไชโยโจทก์ครอบครองมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จำเลยก็ทราบ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 จำเลยนำเจ้าพนักงานไปทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่วัด จำเลยได้นำเจ้าพนักงานชี้เขตกินเข้าไปในที่ดินของโจทก์กว้าง 13 วา ยาว 10 ศอก ราคา 1,000 บาท ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องโจทก์คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินสั่งให้โจทก์มาฟ้องภายใน 30 วันขอให้ศาลห้ามอย่าให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์รายนี้
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้แทนของวัดสุขเกษมจริง โดยเจ้าอาวาสได้มอบหมายเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินของวัดสุขเกษมเพื่อออกโฉนดนั้น จำเลยนำชี้ที่ดินซึ่งเป็นของวัดสุขเกษมหาได้นำชี้รุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือผู้อื่นไม่ ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ของวัดสุขเกษมซึ่งโจทก์ปลูกเรือนอยู่ โจทก์กล่าวอ้างว่าซื้อมาจากนางทองใจนั้นจำเลยไม่ทราบ การที่โจทก์และนางทองใจทำการซื้อขายกันนั้นก็กระทำไปโดยมิชอบ เพราะนางทองใจจะเอาที่วัดไปขายมิได้
ศาลจังหวัดอ่างทองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่รายพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย50 บาท แทนโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่พิพาทเป็นของวัดสุขเกษม ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายเป็นพับไปทั้ง 2 ศาล
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นนั้นศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว คดีนี้โจทก์นำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ไม่มีโฉนดเดิมเป็นของนางทองใจ เมื่อ พ.ศ. 2484 โจทก์ได้ซื้อที่แปลงนี้จากนางทองใจเป็นเงิน 22 บาท ได้ทำสัญญาซื้อขายกันต่ออำเภอไชโย ก่อนทำสัญญาซื้อขายกันเจ้าพนักงานได้ออกไปทำการรังวัดไม่มีผู้ใดคัดค้าน พยานฝ่ายจำเลยมีนายเมืองช่างแผนที่ประจำหอทะเบียนที่ดินจังหวัดอ่างทอง เบิกความว่าเรือนของโจทก์ปลูกอยู่ในที่ของวัด ปรากฏตามแผนที่วิวาทที่พยานทำส่งศาลนี้ถูกต้องกับเขตของวัด ระวาง 6 น. 3 ฎ. ตามแผนที่ระวางนี้ที่ดินพิพาทอยู่ในแผนที่ระวางภายในเส้นเหลืองเป็นที่ดินของวัดตามมาตราส่วน 1/4000 เขตที่พิพาทคือภายในเส้นแดงห่างจากเส้นเหลืองแผนที่ระวางนี้อาจคลาดเคลื่อนได้ เพียงวาสองวาเท่านั้น ฉะนั้นแม้จะคลาดไปบ้างเขตพิพาทก็ยังอยู่ในแผนที่ระวางสีเหลืองนั่นเองนอกจากนั้นพยานจำเลยยังมีร้อยตรีรัตน์ ซึ่งเป็นศิษย์วัดสุขเกษมเบิกความว่า ตรงที่พิพาทเคยใช้เป็นฐานพระ ฐานพระนี้รื้อไป 40 ปีเศษแล้วที่ตรงนี้เลยรกร้างว่างเปล่า แต่วัดคงดูแลอยู่ นายแน่นเคยเช่าที่รายนี้จากวัดทำไร่ผักเมื่อ 10 ปีเศษมานี้ ทั้งนายแน่นพยานจำเลยก็เบิกความรับรองว่าพยานเคยเช่าที่รายพิพาทจากพระอธิการแหวนเจ้าอาวาสวัดสุขเกษม เช่าทำไร่ผักเมื่อ 15-16 ปีมานี้ เช่าอยู่ 5-6 ปี พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานจำเลยได้ศาลฎีกาเชื่อว่าที่พิพาทอยู่ในเขตของวัดสุขเกษม
เมื่อฟังว่าที่พิพาทเป็นของวัดสุขเกษมแล้ว แม้โจทก์จะได้รับซื้อมาจากนางทองใจโดยได้ทำหนังสือซื้อขายกันที่อำเภอไชโย และครอบครองตลอดมาก็ดี ก็ไม่มีผลบังคับได้ เพราะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. 2484 มาตรา 41 บัญญัติว่า “ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ” ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายชั้นนี้ให้เป็นพับไป