คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กล่าวคำหมิ่นประมาทเขาต่อหน้าบุคคลคนเดียว แต่มีผู้อื่นได้ยินด้วยโดยผู้กล่าวไม่รู้นั้น ไม่เป็นผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะต้องมีเจตนากล่าวต่อหน้าบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปด้วย

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไปนั่งคุยกับนางเช้าที่แคร่ข้างครัวเรือนบ้านนางเช้าแล้วจำเลยได้กล่าวว่าโจทก์มีชู้มากนัก นางเช้าจึงถามว่าใครเป็นชู้ จำเลยก็จาระไนชื่อให้ฟัง และยังพูดต่อไปว่านางเพียร (บุตรโจทก์) ถ้าผัวไม่โกงไม่ดุ ก็ดอกทองเหมือนแม่อีก โจทก์และนางโมได้ยินคำที่จำเลยพูดศาลชั้นต้นเห็นว่าการที่จำเลยกล่าวแก่นางเช้ามีผู้ได้ยิน ซึ่งมีผลเหมือนกล่าวต่อหน้าบุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป จำเลยผิดตามกฏหมายอาญามาตรา ๒๘๒ พิพากษาให้ปรับจำเลย.
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้กล่าวต่อหน้านางเช้าผู้เดียว การที่ใครไปแอบได้ยินสักกี่คนก็ตาม ถ้าจำเลยไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นไปอยู่ ณ ที่นั้น จะถือเอาผลว่าเป็นการเท่ากับกล่าวต่อหน้าไม่ได้ ผู้กล่าวจะผิดฉะเพาะต่อเมื่อได้กล่าวต่อหน้าต่อตากันจริงๆหรือโดยทราบแก่ใจว่ามีผู้ได้ยินคำของตน การกระทำของจำเลยยังไม่ครบองค์ความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๒ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทในทางอาญาจำต้องมีเจตนาเป็นองค์สำคัญสำหรับประกอบเป็นความผิด เจตนาอันจะเป็นองค์ความผิดในมาตรา ๒๘๒ จะต้องเป็นเจตนากล่าวต่อหน้าคนแต่ ๒ คนขึ้นไปหรือเจตนากล่าวแก่บุคคลนับแต่ ๒ คนขึ้นไป คดีนี้จำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์ต่อหน้านางเช้าผู้เดียว ไม่ปรากฏว่าจำเลยเจตนาจะกล่าวให้ได้ยินไปถึงบุคคลอื่นนับแต่ ๒ คนขี้นไป แม้จะได้ความว่ามีผู้อื่นแอบได้ยินด้วยก็เป็นเรื่องนอกความรู้สึกและนอกเจตนาของจำเลยๆ หาต้องรับผิดในทางอาญาไม่ ด้วยไม่ครบองค์ความผิด จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share