แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ได้จอดรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ที่ถนน แล้วถูกคนร้ายลักไป เมื่อถนนดังกล่าวเป็นที่จอดรถได้ และมีรถยนต์คันอื่นจอดอยู่หลายคัน ดังนี้จะเรียกว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้ เมื่อรถดังกล่าวถูกขโมยลักไป สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ประกอบด้วยมาตรา 567 จำเลยไม่ต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อหรือค่าเสียหายตั้งแต่งวดที่รถหายเป็นต้นไป
โจทก์ฎีกาในข้อที่มิได้บรรยายมาในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏนั้น ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ทะเบียน ก.ท.ส. ๓๗๑๔ ไปจากโจทก์ แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและริบเงินที่จำเลยที่ ๑ ชำระไปแล้ว กับให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถคืน แต่จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในความเสียหายที่โจทก์ได้รับ คือค่าเสียหายตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้อง ๓๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายรายเดือน ๆ ละ ๓,๐๐๐ บาท จนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งรถคืนหรือใช้ราคา ๑๐๔,๑๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องและจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันจริง แต่เนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๑๖ เวลากลางวัน รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทของจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่ติดใจในค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ ๑ ต่อไป จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงพ้นความรับผิดไปด้วย จำเลยที่ ๑ มิได้ผิดสัญญาฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมรถยนต์พิพาทได้หายไปจริงและจำเลยที่ ๑ ไม่ประมาทเลินเล่อ เมื่อรถยนต์พิพาทได้หายไป สัญญาเช่าซื้อย่อมเป็นอันเลิกหรือระงับไปทันทีที่จำเลยที่จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ และจำเลยที่ ๑ ก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบในโอกาสแรกที่จะกระทำได้ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทราบเรื่องรถที่ให้เช่าซื้อไปได้หายไปแล้ว เมื่อรถพิพาทหายไปฟังไม่ได้ว่าเป็นความผิดหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ โจทก์ย่อมจะฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ คืนรถหรือใช้ราคารถหรือเรียกค่าเสียหายฐานขาดประโยชน์ เพราะจำเลยที่ ๑ ครอบครองและใช้รถจากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ เพราะรถหายไปและจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ครอบครองและใช้รถ เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดด้วย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว
โจทก์ฎีกาว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้หายไปจริง หากจะหายไปจริงจำเลยที่ ๑ ก็ประมาทเลินเล่อนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เบิกความว่ารถที่เช่าซื้อได้หายไปตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๑๗ เมื่อหายไปแล้วจำเลยที่ ๑ ก็ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจนครบาลพระราชวังทราบทันที ปรากฏตามรายงานประจำวันเอกสารหมาย ล. ๑ ซึ่งร้อยตำรวจเอกบุญทรง นาคชิต สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังพยานจำเลยเบิกความว่า จำเลยที่ ๑ แจ้งความรถหายจริง จึงไปดูที่เกิดเหตุ เป็นถนนสนามชัยซึ่งจอดรถได้มีรถจอดอยู่หลายคัน ได้เรียกนายทวี จันทร์พรพงษ์ ผู้จัดการบริษัทโจทก์มาสอบถาม ส่วนพยานโจทก์มีนายทวี จันทร์พรพงษ์ ผู้จัดการบริษัทโจทก์เพียงปากเดียวเบิกความไม่ยืนยันว่ารถที่จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อหายจริงหรือไม่ หรือหายเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ และไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบ ฉะนั้น จึงเชื่อว่ารถได้หายไปจริงโดยไม่ใช่ความประมาทของจำเลยที่ ๑ ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ ๑ จอดรถไว้ที่ถนนสนามชัย หน้ากรมการรักษาดินแดนซึ่งเป็นที่จอดรถได้และมีรถอื่นจอดอยู่หลายคัน ทั้งจำเลยที่ ๑ จอดรถแล้วก็ปิดประตูใส่กุญแจเรียบร้อย และขณะที่จอดก็เป็นเวลากลางวันอีกด้วย เมื่อคดีฟังได้ดังนี้สัญญาเช่าซื้อจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ ประกอบด้วยมาตรา ๕๖๗ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องชำระเงินค่าเช่าซื้อหรือค่าเสียหายตั้งแต่งวดที่รถหายเป็นต้นไป
โจทก์ฎีกาว่า ในสัญญาเช่าซื้อข้อ ๔ ข. ได้ระบุให้ผู้เช่าซื้อเป็นผู้รับผิดชอบต่อภยันตรายทั้งปวงตลอดจนความเสียหายทุกประการ อันจะพึงมีแก่รถและอุปกรณ์ที่เช่าซื้อไปไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ไม่ได้มีข้อยกเว้นว่าการใช้รถของจำเลยนั้นจะได้ใช้ไปโดยความประมาทเลินเล่อหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์หาได้บรรยายในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏไม่ว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดด้วยเหตุผลตามข้อสัญญาข้อ ๔ (ข) ดังกล่าว โจทก์ฟ้องและนำสืบแต่เฉพาะให้จำเลยทั้งสองรับผิดในจำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์นำรถที่จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อให้ผู้อื่นเช่าไม่ได้เท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องและนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๔ ข. ก็จะวินิจฉัยให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญาดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันก็พ้นความรับผิดไปด้วย เหตุผลที่โจทก์ฎีกามานั้นฟังไม่ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน