คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 304/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตำรวจเบิกความว่า พอเกิดเหตุแล้ว จำเลยออกมาจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม มีผู้ตามจำเลยติดมาชี้บอกให้จับจำเลยว่าแทงผู้ตายคำของตำรวจนี้เป็นพยานชั้นที่1 ไม่ใช่คำบอกเล่า แต่ถ้อยคำที่ผู้ตามจำเลยมาบอกแก่ตำรวจนั้น เป็นคำบอกเล่าคำบอกเล่าในขณะกระชั้นชิดทันที ซึ่งตามธรรมดายังไม่ทันจะมีช่องโอกาสคิดแกล้งปรักปรำศาลรับฟังประกอบพฤติเหตุอื่นๆ ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนโดยเจตนาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อคืนวันที่ 11 มิถุนายน 2497 จำเลยบังอาจฆ่าโดยใช้มีดแทงนายประทินหรือสุทินตายโดยเจตนาเพราะพิษบาดแผลในคืนนั้น เหตุเกิดตำบลวงฆ้อง อำเภอพรมพิราม จังหวัดพิษณุโลกขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฎิเสธต่อสู้ว่า มีคนร้ายแทงผู้ตาย จำเลยเข้าแย่งมีดคนร้ายได้ จึงมอบแก่เจ้าพนักงาน

ศาลจังหวัดพิษณุโลกพิจารณาเห็นว่า แม้คดีนี้จะไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความชั้นศาล แต่มีพยานประพฤติเหตุแวดล้อมเพียงพอฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้กระทำร้ายนายสุทินตายโดยเจตนา มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ให้จำคุก 18 ปี คำรับของจำเลยชั้นอำเภอมีประโยชน์แก่ทางพิจารณาอยู่บ้าง ให้ลดฐานปรานีตาม มาตรา 59 ลง 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 12 ปี มีดของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังอ่อน ไม่มีน้ำหนักจะลงโทษจำเลยได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ในระหว่างฎีกา เว้นแต่จะมีประกันไปตามที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาเห็นสมควรส่วนมีดของกลางปรากฏว่า เป็นของใช้ในการกระทำผิดจริงคงให้ริบ

โจทก์ฎีกา

ตามทางนำสืบที่ไม่โต้เถียงกัน ได้ความว่า นายสุทินมีอาชีพเล่นลิเกอยู่ในคณะของนายสวาสดิ์ ซึ่งนำมาแสดงที่วิกของนายฉุยพ่อตาจำเลยได้ 6-7 คืน ก็ถึงคืนเกิดเหตุ ซึ่งนายฉุยเจ้าของวิกจัดให้มีการฉายภาพยนต์แทนลิเกหยุดแสดง พวกลิเกคงพักอยู่บนเวทีเบื้องหลังจอภาพยนต์ในคืนนั้นเวลา 2 ทุ่มเศษ ภาพยนต์จวนฉายอยู่แล้วนายสุทินซึ่งอยู่บนเวทีหลังฉาก ได้ถูกคนร้ายแทงด้วยมีดปลายแหลมที่เหนือนมซ้าย และชายโครงขวารวม 2 แห่ง อยู่ได้สัก 2 นาทีก็ขาดใจตายเพราะพิษบาดแผลนั้น

โจทก์นำสืบว่า ก่อนภาพยนต์จะลงมือฉายเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจมีนายสิบตำรวจเอกเสถียร เป็นหัวหน้าซึ่งไปรักษาการณ์คืนนั้นได้พากันไปรอดูภาพยนต์อยู่ในที่นั่งชั้น 2 ห่างจอสัก 8 วา ได้ยินเสียงดังปังข้างหลังจอ คล้ายของหนักกระทบพื้น ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งคือจำเลยนี้กำลังเดินออกมาจากด้านหลังของจอภาพยนต์ทางข้างจอ ติด ๆ กันนั้นก็มีนางเจียนภริยาโต้โผลิเกวิ่งตามมาในทางเดียวกันชี้มือร้องบอกให้ตำรวจจับจำเลย ขณะนั้นจำเลยมีกลิ่นสุรา เอามือกุมท้องตำรวจเข้าจับดึงมือออกก็พบมีดของกลางในฝักเหน็บพุงจำเลยอยู่ชักมีดออกดูยังเปื้อนเลือดสด ๆ สอบถามจำเลยซึ่งเป็นคนเคยรู้จักกันว่า เรื่องอะไรกันเล่าเตี้ยง จำเลยตอบว่า เรื่องอะไรเล่าเอาเข้าแล้ว 2 ที และพูดต่อไปว่า พวกลิเกประมาณ 10 กว่าคนลุมทำร้ายเขา ๆ จึงแทงป้องกันตัวไป แต่ไม่รู้ถูกที่ไหนบ้าง ตำรวจคนหนึ่งคุมตัวจำเลย อีก 3 คนเข้าไปที่หลังจอพบผู้ตายนอนจมกองเลือดอยู่ มีหญิงอยู่ด้วย 2 คน คือนางบุญมีภริยาผู้ตาย และนางเจียนหญิงทั้งสองนี้บอกว่าจำเลยแทงผู้ตาย ตำรวจที่ควบคุมนำส่งตัวไปยังนายร้อยตำรวจโท จินต์ นาคเสวี และอำเภอเป็นลำดับ ก็ยังคงรับอยู่ตลอดมา

จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุสัก 2 ทุ่ม จำเลยเข้าไปหลังจอภาพยนต์ เพื่อตรวจดูประตูหลังของวิกกับคนลอบเข้าดูเปล่า ๆ พบพวกลิเกกำลังกินเหล้ากันอยู่ จำเลยกลับออกมา ต่อมาประมาณ 3 ทุ่มได้ยินคนพูดว่าทางหลังวิกเกิดทะเลาะกัน จำเลยจึงเข้าไปกับนายใช้นายรี เห็นผู้ตายนอนมีเลือดไหลที่หน้าอก มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งยืนถือมีด เข้าใจว่าเป็นคนร้าย จำเลยกระโดดเข้าแย่งมีด มีดตกชายนั้นหนีไปได้ จำเลยเก็บมีดและฝักซึ่งหล่นอยู่ปลายเท้าผู้ตายเดินออกมาทางที่ผู้นั่งชมภาพยนต์หน้าเวทีพบเจ้าพนักงานตำรวจก็มอบมีดและเล่าเหตุการณ์

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานสองปาก คือนางบุญมี ภริยาผู้ตายและนางเจียน ภริยาโต้โผลิเก เป็นคนต่างท้องถิ่นเพียงมาหากินทางลิเกที่นั่นชั่วคราวครั้นเกิดเหตุแล้วก็กลับถิ่นเดิมหาตัวยาก ถึงกระนั้นทางการก็พยายามติดต่อ จนในวันนัดสืบพยานครั้งแรกได้ตัวนางเจียนมาคนหนึ่งแต่ต้องเลื่อนไปเพราะขาดนางบุญมี พยานคู่ ต่อจากนั้นมาทางการจะพยายามสักเท่าไร ๆ ก็หาตัวไม่พบอีกทั้งสองคน แม้ในนัดแรกที่นางเจียนมานั้น ก็ได้ความจากเจ้าหน้าที่ว่า นางเจียนตัวสั่นงันงก กลัวอันตรายถูกขู่จะเอาชีวิตในการที่มาเป็นพยาน ลงท้ายเป็นอันไม่ได้ตัวมาสืบทั้งสองคน

ได้พิเคราะห์เทียบเคียงน้ำหนักคำพยาน ประกอบด้วยเหตุผลทางคดีแล้วเห็นว่า นายสิบตำรวจเอกเสถียร กับพวกไม่เคยมีสาเหตุอันใดกับจำเลย อันจะระแวงในทางแกล้งปรักปรำ ได้ประสพเหตุการณ์อย่างกระชั้นชิด ตามที่ยืนยันว่ามีนางเจียนตามติดจำเลยออกมาชี้ให้จับจำเลยหาว่า แทงผู้ตายนั้น คำยืนยันของตำรวจถึงเหตุการณ์ตามที่รู้เห็นมานี้นับว่า เป็นพยานชั้นที่ 1 ไม่ใช่คำบอกเล่า กล่าวคือฟังได้ว่านางเจียนได้ตามติดออกมาชี้ให้ตำรวจจับจำเลย หาว่าแทงผู้ตายจริง หากจะเป็นคำบอกเล่าก็คือถ้อยคำของนางเจียนที่บอกแก่ตำรวจนั้นเป็นคำบอกเล่าของนางเจียน อย่างไรก็ดีนางเจียนได้บอกในขณะกระชั้นชิดทันที ซึ่งตามธรรมดายังไม่ทันจะมีช่องโอกาสให้คิดแกล้งหาปรักปรำกัน ขณะนั้นจำเลยเอามือกุมท้องปิดบังไม่ให้ตำรวจเห็นมีดเปื้อนเลือด และฝักที่เหน็บพุงมีพิรุธอยู่เต็มตัว เมื่อตำรวจเข้าไปหลังจอ ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากผู้ตายภริยาผู้ตายกับลูกอ่อนและนางเจียนประตูหลังวิกก็ปิดตายถ้าไม่ใช่จำเลยแล้วจะเป็นใครทั้งจำเลยยังรับว่าแทงผู้ตายจริงต่อตำรวจผู้จับกุมชั้นแรกต่อนายร้อยตำรวจโท จินต์ และต่อนายอำเภอเป็นลำดับ แต่ในชั้นสอบสวนมีการโอ้เอ้ ลงท้ายจำเลยจึงเพิ่งให้การปฏิเสธซัดไปคนอื่นจำเลยเพียงเข้าแย่งได้มีดจากคนร้ายอื่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังรับอยู่ว่า เคยรับต่อตำรวจว่า ใช้มีดแทงไป 2 ที แต่แก้ว่า เพราะความเกรงกลัวและตำรวจซักถามมากเข้าจึงรับไปอย่างนั้น ซึ่งเห็นว่าไม่มีเหตุผลอันควรรับฟัง

พยานจำเลยนำสืบไม่สม และไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยละเอียดแล้ว

คดีฟังได้ว่า จำเลยฆ่านายสุทินตายโดยเจตนาจริง ควรรับโทษดังที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดมา

จึงพิพากษากลับ ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลจังหวัดพิษณุโลกทุกประการ

Share