คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3036/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องและทรัพย์ของกลางเป็นเครื่องมือและทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบ จำเลยจะมาโต้เถียงข้อเท็จจริงในชั้นขอคืนของกลางให้รับฟังว่าเงินสดของกลางบางส่วนไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนัน แต่เป็นทรัพย์สินที่ยึดได้จากตัวจำเลยโดยจำเลยไม่ได้เอาออกพนันตามคำร้องหาได้ไม่ ทั้งการร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36ศาลจะสั่งคืนได้ต่อเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องขอเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด เมื่อจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง ศาลจะสั่งคืนของกลางให้ไม่ได้จึงไม่มีเหตุที่จะรับคำร้องของจำเลยไว้ไต่สวน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดสิบแปดฐานร่วมกันเล่นการพนันสลากกินรวบโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2487 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15และริบของกลาง จำเลยทั้งแปดให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 88 ฐานเป็นผู้ร่วมเล่นคนละ 2,500 บาท กับให้ริบเงินสดจำนวน 8,231,480 บาทโพยสลากกินรวบ 86 แผ่น สมุดฉีก 3 เล่ม ปากกา 2 ด้ามเครื่องคิดเลข 4 เครื่อง และต้นขั้วโพยสลากกินรวบ 6 เล่ม ของกลางและให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 88 จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่าปรับ

จำเลยที่ 61 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 61 ร่วมเล่นการพนันเป็นเงินเพียง 500 บาท ตามที่เขียนในโพยสลากกินรวบท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่จับได้ในวงเล่น ส่วนเงินจำนวน 800,000 บาทที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดจากตัวจำเลยที่ 61 เป็นทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน จึงมิใช่ทรัพย์สินอันต้องริบตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มาตรา 10 ขอให้คืนเงินจำนวน 800,000 บาท ของกลางแก่จำเลยที่ 61

ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มิได้บัญญัติหลักเกณฑ์เรื่องการขอคืนทรัพย์ของกลางไว้และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ผู้ที่จะขอคืนของกลางได้ต้องเป็นบุคคลภายนอก มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 61

จำเลยที่ 61 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 61 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 61 ว่า กรณีมีเหตุสมควรที่จะรับคำร้องของจำเลยที่ 61 ไว้ไต่สวนต่อไปหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 61 จำเลยที่ 61 ยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดสิบแปดฐานร่วมกันเล่นการพนันสลากกินรวบโดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ริบทรัพย์ของกลางคือ เงินสดจำนวน 8,231,480 บาท โพยสลากกินแบ่งรวบ 86 แผ่น สมุดฉีก 3 เล่ม ปากกา 2 ด้าม เครื่องคิดเลข4 เครื่อง และต้นขั้วโพยสลากกินรวบ 6 เล่ม ซึ่งเป็นเครื่องมือและทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบ จำเลยทั้งแปดสิบแปดให้การรับสารภาพตามฟ้องและคดีได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น คดีจึงต้องฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 61 ได้กระทำความผิดตามฟ้องและทรัพย์ของกลางเป็นเครื่องมือและทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนันสลากกินรวบ จำเลยที่ 61 จะมาโต้เถียงข้อเท็จจริงในชั้นขอคืนของกลางให้รับฟังเป็นอย่างอื่นว่าเงินสดของกลางบางส่วนจำนวน 800,000 บาท ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนัน แต่เป็นทรัพย์ที่ยึดได้จากตัวจำเลยที่ 61 โดยจำเลยที่ 61 ไม่ได้เอาออกพนันตามคำร้องหาได้ไม่ ทั้งการร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ศาลจะสั่งคืนได้ต่อเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องขอเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด เมื่อจำเลยที่ 61 เป็นผู้กระทำความผิดเสียเองศาลก็จะสั่งคืนของกลางให้ไม่ได้ จึงไม่มีเหตุที่จะรับคำร้องของจำเลยที่ 61 ไว้ไต่สวนต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 61 และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 61 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share