คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3030/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว แม้มิได้แนบเอกสารสัญญาซื้อขายที่ได้กล่าวอ้างถึงก็หาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริงจัง แต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันเท่านั้น การซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 118 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดิน ๑ แปลงให้แก่โจทก์และส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๒ กับบริวารเข้าไปตัดฟันต้นไม้ในที่ดินดังกล่าวอ้างว่าซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากจำเลยที่ ๑ โจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับโฉนดที่ดินแล้วโอนขายให้จำเลยที่ ๒ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาลวงสมรู้กันฉ้อฉลโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองและให้จำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ หากไม่โอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยขายที่ดินให้โจทก์แต่ขายให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ เข้าครอบครองที่ดินพิพาท การซื้อขายกระทำโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนฟ้องโจทก์เคลือบคลุมกละขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนนิติกรรมโอนขายระหว่างจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่พิพาทให้โจทก์หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์ฟ้องคดีอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์มิได้แนบเอกสารไปกับคำฟ้อง เห็นว่า เมื่อฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว แม้มิได้แนบเอกสารสัญญาซื้อขายที่ได้กล่าวอ้างถึงก็หาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ ฯลฯ
สำหรับประเด็นข้อ ๓ นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองให้โจทก์แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยมีข้อตกลงกันว่าจะโอนให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ ย่อมทราบดีว่าตนมีข้อผูกพันที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ไม่อาจจะเอาไปโอนให้บุคคลอื่นได้ และนายคำตา ขันดี พยานโจทก์เบิกความว่า ชาวบ้านโดยทั่วไปรวมทั้งจำเลยที่ ๒ ด้วย ทราบเรื่องที่โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ และต่างเห็นโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็เบิกความว่า ที่ดินพิพาทอยู่ห่างบ้านจำเลยประมาณ ๑ เส้นเศษ นอกจากนี้ในสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองก็มีราคาซื้อขายกันเพียง ๒,๐๐๐ บาท แม้จะนำสืบว่าชำระกันแล้ว ๙,๐๐๐ บาท ก็เป็นเรื่องกล่าวอ้วงกันง่าย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วเชื่อว่าที่ได้มีการจดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองนั้นเป็นเรื่องมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริงจัง หากแต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันเท่านั้น ซึ่งย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ วรรคแรก ฯลฯ
พิพากษายืน

Share