แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หน้าคำฟ้องของโจทก์ลงข้อหาว่าฉ้อโกง และโจทก์บรรยายฟ้อง ถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะ ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ เท่ากับจำเลยยอมรับว่าได้กระทำการต่าง ๆ ดังที่โจทก์บรรยาย มาในฟ้อง แม้ว่าส่วนคำขอท้ายฟ้องพิมพ์ไว้แต่เพียงว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 59,341 โดยมิได้อ้างชื่อกฎหมาย แห่งมาตรานั้น ๆ ก็ตาม แต่เมื่อประมวลคำฟ้องโจทก์แล้วทราบได้ว่า กฎหมายที่ขอให้ลงโทษนั้นคือประมวลกฎหมายอาญาซึ่งใช้บังคับอยู่ ในปัจจุบัน ทั้งมาตราที่พิมพ์ไว้ในคำขอท้ายฟ้องตรงกับ มาตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาในหมวด 3 ความผิด ฐานฉ้อโกง คำฟ้องของโจทก์จึงขาดตกบกพร่องเพียงแต่มิได้ ระบุชื่อของกฎหมายเท่านั้น แต่เมื่อมีพฤติการณ์แสดงให้เห็น ได้ว่ากฎหมายที่ขอให้ลงโทษเป็นกฎหมายอะไร จึงหาเพียงพอที่จะ ถือว่าเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(6) ไม่ ฟ้องโจทก์สมบูรณ์แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทุจริตหลอกลวงโจทก์โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4492 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวคือบ้านเลขที่ 72/1 หมู่ที่ 1 และพาโจทก์ไปดูที่ตั้งของที่ดินแปลงดังกล่าวนี้ และโดยการหลอกลวงของจำเลยดังว่านั้น ทำให้โจทก์หลงเชื่อจึงรับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 4992 พร้อมบ้านเลขที่ 72/1หมู่ที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และจำเลยได้รับเงินจำนวน 2,600,000 บาทไปจากโจทก์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2535 อันเป็นวันที่จำเลยจดทะเบียนขายฝากให้กับโจทก์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537 โจทก์จึงทราบจากการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครว่าความจริงทิศเหนือของที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นถนนสาธารณะทางด้านทิศใต้เป็นลำกระโดงสาธารณะ และเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่บ้านเลขที่ 72/1 ตั้งอยู่ ทั้งเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยพาไปดูก่อนทำสัญญาขายฝากให้กับโจทก์ หากโจทก์ทราบความจริงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 4992 เป็นถนนและลำกระโดงสาธารณะและไม่มีบ้านเลขที่ 71/1 ปลูกอยู่ และไม่ใช่ที่ดินที่จำเลยพาไปดูก่อนนำไปขายฝากกับโจทก์ โจทก์จะไม่รับซื้อฝากไว้จากจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามมาตรา 59, 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 จำคุก 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 เดือน แม้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไปแล้ว 100,000 บาทและได้นำเงินสดอีก 250,000 บาท มาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงเงินโจทก์ไปเป็นจำนวนถึง 2,600,000 บาท จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษให้จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายเพียงประการเดียวว่า การที่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายใด จึงไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยตามกฎหมายอาญาฉบับใด เป็นการไม่ระบุชื่อกฎหมายที่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลย ฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6)จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ เห็นว่า บทบัญญัติดังที่จำเลยอ้างในฎีกาบัญญัติว่า “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี (6) อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด” เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว หน้าฟ้องลงข้อหาว่าฉ้อโกงและบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆอีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว การที่จำเลยให้การรับสารภาพเท่ากับยอมรับว่าได้กระทำการต่าง ๆ ดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องแม้ว่าส่วนคำขอท้ายฟ้องพิมพ์ไว้แต่เพียงว่าขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 59, 341 โดยมิได้อ้างชื่อกฎหมายแห่งมาตรานั้น ๆก็จริงอยู่ แต่เมื่อประมวลแล้วทราบได้ว่ากฎหมายที่ขอให้ลงโทษนั้นคือประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ทั้งมาตราที่พิมพ์ไว้ในคำขอท้ายฟ้องตรงกับมาตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาในหมวด 3 ความผิดฐานฉ้อโกง คำฟ้องของโจทก์คดีนี้ขาดตกบกพร่องเพียงแต่มิได้ระบุชื่อของกฎหมาย แต่ก็มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นกฎหมายอะไร เช่นนี้หาเพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใดไม่ ฟ้องโจทก์สมบูรณ์แล้ว
พิพากษายืน