แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 114 มิได้บังคับโดยเด็ด ขาดมิให้ศาลรับฟังคำพยานซึ่งเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว แต่เป็นการให้ศาลใช้ดุลพินิจ ในการรับฟังคำพยานดังกล่าวได้และหามีบทบัญญัติใดบังคับไว้เด็ด ขาดห้ามมิให้สืบพยานที่ได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวที่จำเลยเช่าจากโจทก์ และส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเลิกสัญญา
ในวันนัดสืบพยานจำเลย ขณะที่ทนายจำเลยเบิกความเป็นพยานจำเลยอยู่นั้นตัวจำเลยซึ่งจะเบิกความเป็นพยานจำเลยด้วยได้นั่งฟังอยู่ในห้องพิจารณา เมื่อตัวจำเลยจะเบิกความ โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้สืบตัวจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบตึกแถวพิพาทคืนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษา รวมทั้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ตัวจำเลยเบิกความ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่ให้ตัวจำเลยเบิกความเป็นการไม่ชอบพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบตัวจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีเพียงว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ตัวจำเลยเบิกความนั้นเป็นการชอบหรือไม่ได้ความว่าในการสืบพยานจำเลยจำเลยซึ่งจะเข้าเบิกความต่อจากนายไพฑูรย์ พลซื้อ ทนายจำเลยได้ฟังคำเบิกความของนายไพฑูรย์อยู่ในห้องพิจารณาโดยตลอด โดยศาลชั้นต้นไม่ทราบและไม่ได้สั่งให้จำเลยออกไปเสียจากห้องพิจารณา ครั้นจำเลยจะเบิกความเป็นพยานโจทก์คัดค้านขึ้น ศาลชั้นต้นจึงได้สั่งให้งดสืบตัวจำเลย เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 วรรคแรกได้บัญญัติห้ามมิให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่จะเบิกความภายหลัง และให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้ และในวรรคสอง บัญญัติว่า แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคำเบิกความเช่นว่านี้เพราะเป็นการผิดระเบียบถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน หรือไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลจะไม่ฟังว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้ กรณีในคดีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้ก็ไม่มีบทบัญญัติใดบังคับไว้เด็ดขาดห้ามมิให้สืบพยานที่ได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนตรงกันข้ามตามมาตรา 114 วรรคสอง ดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าอาจมีกรณีซึ่งพยานคนใดเป็นความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้วเกิดขึ้นได้ ซึ่งแม้คู่ควยามอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคำเบิกความเช่นว่านี้เพราะเป็นการผิดระเบียบก็ยังมิได้บังคับมิให้ศาลรับฟังคำพยานดังกล่าวโดยเด็ดขาด กล่าวคือ กฎหมายบัญญัติว่าถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน หรอืไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลจะไม่ฟังว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้ เป็นการให้ศาลใช้ดุลพินิจในการรับฟังคำพยานดังกล่าวได้ กรณียังไม่ปรากฏว่าตัวจำเลยจะเบิกความเป็นที่เชื่อถือฟังได้หรือไม่ สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ จึงสมควรให้ตัวจำเลยเบิกความไปก่อนเพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังว่า คำเบิกความเช่นว่านี้เป็นการผิดระเบียบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตหรืองดสืบตัวจำเลยจึงไม่ชอบ…”
พิพากษายืน.