คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทานและรับว่าหากกรมชลประทานจะเอาคืน จำเลยก็จะคืนให้เช่นนี้ การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการครอบครองชั่วคราวเท่านั้น มิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ อีกทั้งที่ดินที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ต้องเป็นที่ดินซึ่งบุคคลอื่นมีกรรมสิทธิ์อยู่ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ซึ่งทางราชการเพิ่งออกโฉนดที่ดินให้แก่บริษัท ท. ระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงต้องเริ่มนับเมื่อทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน แต่จำเลยมิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท ท. ว่าตนเองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริตอย่างเป็นเจ้าของ ต่อมาบริษัท ท. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ค. จำเลยกลับมีหนังสือขอซื้อที่ดินไปยังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ค. พฤติการณ์ของจำเลยจึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ค. เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น การอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงมีลักษณะเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของผู้อื่น ซึ่งตราบใดที่จำเลยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังเจ้าของที่ดินว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง แม้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 2 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินมาตั้งแต่ปี 2520 โดยมิได้มีผู้ใดโต้แย้ง โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 2 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 มิถุนายน 2540) จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา โดยโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2539 ตามสารบัญจดทะเบียนสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 และสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.11 ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 41 ตารางวา ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ของโจทก์ทั้งสอง โดยมีบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 2 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ของจำเลยปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ จำเลยมีตัวจำเลย นายนรา จันทรชิรัตน์ นายยงยุทธ จันทรชิรัตน์ และนายไสว อยู่เส็ง เบิกความเป็นพยานในทำนองเดียวกันว่า จำเลยซื้อบ้านเลขที่ 8 ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินพิพาทจากนายไสวตั้งแต่ปี 2520 จำเลยและครอบครัวอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตลอดมา โดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทาน จนกระทั่งปี 2526 จำเลยจดทะเบียนซื้อบ้านดังกล่าวจากนายไสว ซึ่งในการจดทะเบียนซื้อขาย นายไสวมอบหมายให้นายสนม อยู่เส็ง พี่ชายเป็นผู้ดำเนินการแทน เห็นว่า หนังสือสัญญาขายบ้านเลขที่ 8 ระหว่างจำเลยกับนายสนมตามเอกสารหมาย ล.1 จำเลยให้ถ้อยคำต่อนายอำเภอองครักษ์ ตามบันทึกถ้อยคำฉบับลงวันที่ 6 มกราคม 2526 เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 2 ว่า หากมีการใช้ที่ดินหรือเจ้าของที่ดินคือกรมชลประทานจะใช้ประโยชน์หรือให้รื้อถอน จำเลยยินยอมรื้อถอนโดยไม่คิดค่ารื้อถอนจากเจ้าของที่ดิน ดังนั้น การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทานและรับว่าหากกรมชลประทานจะเอาคืน จำเลยก็จะคืนให้เช่นนี้ การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการครอบครองชั่วคราวเท่านั้น มิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ อีกทั้งที่ดินที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ต้องเป็นที่ดินซึ่งบุคคลอื่นมีกรรมสิทธิ์อยู่ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ซึ่งทางราชการเพิ่งออกโฉนดที่ดินให้แก่บริษัททอง 16 เมืองใหม่ จำกัด เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2530 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 ระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงต้องเริ่มนับเมื่อทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน แต่จำเลยก็มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัททอง 16 เมืองใหม่ จำกัด เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ว่าตนเองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริตอย่างเป็นเจ้าของ ทั้งต่อมาภายหลังบริษัททอง 16 เมืองใหม่ จำกัด โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด เป็นรายต่อมา ตามสารบัญจดทะเบียนสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.10 จำเลยกลับมีหนังสือขอซื้อที่ดินจำนวน 493 ตารางวา ไปยังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2539 ตามเอกสารหมาย จ.3 จากนั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2539 จำเลยก็ยังคงมีหนังสือขอซื้อที่ดินแปลงเดียวกันนี้ไปยังบริษัทดังกล่าวอีกครั้งตามเอกสารหมาย จ.4 โดยระบุเลขโฉนดที่ดินที่จำเลยขอซื้อว่าเป็นโฉนดเลขที่ 7107 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 93 ตารางวา ซึ่งนายประวิทย์ สวัสดิโภชา หัวหน้างานนิติกรรมและสัญญาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด พยานฝ่ายโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่าจำเลยมีหนังสือขอซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ทั้งแปลง โดยที่ดินพิพาทซึ่งบ้านของจำเลยปลูกสร้างอยู่เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 นั่นเอง หาใช่เป็นที่ดินแปลงอื่นใดดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ พฤติการณ์ของจำเลยจึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น การอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงมีลักษณะเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของผู้อื่น ซึ่งตราบใดที่จำเลยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังเจ้าของที่ดินว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง แม้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share