แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยที่ 1 ได้แย่งการครอบครองของโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีแล้วโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไรกลับฎีกาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์เพราะพยานหลักฐานและเหตุผลอื่น ดังนี้ ฎีกาของโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นา 1 แปลง เดิมเป็นของบิดาโจทก์เมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมจึงตกได้แก่โจทก์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2523 จำเลยที่ 3 ได้บุกรุกเข้าไถคราดและหว่านข้าวในที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ให้เข้าทำ จำเลยที่ 1 อ้างว่าซื้อจากจำเลยที่ 2 และได้ออก น.ส.3 แล้ว โจทก์สอบถามเจ้าหน้าที่จึงทราบว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนั้นเป็นเสมียนพนักงานที่ดินร่วมกันเอาที่ดินของโจทก์ไปออก น.ส.3 เป็นชื่อจำเลยที่ 2 แล้วขายให้จำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอน น.ส.3 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งรับมรดกจากบิดาแล้วขอออก น.ส.3 ต่อมาได้ขายด้านทิศตะวันตกให้ผู้อื่น ส่วนที่เหลือขายให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้มอบให้จำเลยที่ 3 ทำนา เมื่อ พ.ศ. 2521 โจทก์บุกรุกเข้าทำนาพิพาท จำเลยที่ 1 ห้ามปราม โจทก์ขอเกี่ยวข้าวที่ปลูกไว้แล้วและรับว่าจะไม่เกี่ยวข้องต่อไปอีก จำเลยที่ 3 กระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 1 โต้แย้งสิทธิเหนือที่พิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2521 โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 1 ปีจึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่เคยขอออก น.ส.3 ทับที่ดินของโจทก์และไม่เคยขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งกำลังเมาสุราลงลายมือชื่อในกระดาษที่ยังไม่ได้เขียนข้อความ จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็นในการออก น.ส.3 ทับที่พิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอน น.ส.3 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2521 และจำเลยที่ 3 ได้เข้าทำนาในที่พิพาทตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2522 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นต่อไปพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถ้าหากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว โจทก์ก็จะต้องฎีกาคัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกที่นาพิพาทคืนใน 1 ปีนั้นไม่ถูกต้องอย่างไรแล้วจึงจะฎีกาต่อไปว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยให้ แต่โจทก์หาได้ฎีกาเช่นนั้นไม่ กลับฎีกาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์เพราะจำเลยที่ 2 เบิกความว่าไม่เคยขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 การออก น.ส.3 ที่นาพิพาทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานที่ดินก็ทำเรื่องราวขอออกเอง การซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ก็มีพิรุธ ทั้งราคาซื้อขายก็ถูกมากจนไม่น่าเป็นไปได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์