คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง กรณีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์โดยชอบศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย บริษัท ส. ผู้รับเช็คพิพาทจากจำเลยเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริษัท แม้บริษัทดังกล่าวได้รับความเสียหาย ก็ไม่ได้หมายความว่าโจทก์จะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่บริษัทโรงเลื่อยจักรศรีอนันต์ จำกัด ฉะนั้น เรื่องที่ว่าโจทก์เป็นประธานกรรมการของบริษัทดังกล่าว ย่อมเป็นไปได้ที่โจทก์จะมีหนี้สินกับบริษัท โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบว่ามีมูลหนี้ในเช็คพิพาทแต่อย่างใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 แม้โจทก์จะได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249โจทก์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยสำหรับฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า ถึงแม้บริษัทโรงเลื่อยจักรศรีอนันต์ จำกัด จะไม่ได้โอนเช็คพิพาทให้โจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ก็มีส่วนได้เสียในผลกำไรขาดทุนของบริษัทดังกล่าวในฐานะประธานกรรมการของบริษัท โจทก์จึงย่อมเป็นผู้เสียหายด้วยนั้น เห็นว่าบริษัทโรงเลื่อยจักรศรีอนันต์ จำกัด ผู้รับเช็คพิพาทจากจำเลยเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวโจทก์ หากบริษัทดังกล่าวได้รับความเสียหาย ย่อมไม่ได้หมายความว่าโจทก์ในฐานะประธานกรรมการของบริษัทจะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายไปด้วย เพราะเป็นบุคคลคนละคนกันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share