คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3009/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ตกเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจหน้าที่รวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของโจทก์ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในหมวด 4 ส่วนที่ 4 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ซึ่งมาตรา 123 บัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะขายทรัพย์สินที่รวบรวมได้มาตามวิธีที่สะดวกและเป็นผลดีที่สุดโดยมีเงื่อนไขว่าการขายโดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาด ต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยวิธีอื่นตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายเป็นการดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าว สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงควรได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตาม ดังนั้น เมื่อผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินและได้มาซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์รวมถึงสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้จากการขายดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และมีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ได้ หาจำต้องมีผู้ใดมาโต้แย้งสิทธิเสียก่อนหรือต้องร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามแต่อย่างใดไม่
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดีโดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยตามคำพิพากษามาจากการขายในคดีล้มละลาย กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่มีผู้ร้องพิพาทกับจำเลยในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนอง และสัญญาค้ำประกัน ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองและบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่โดยอาศัยเหตุดังกล่าว มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่นอกเหนือไปจากสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนอง และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามสัญญาค้ำประกันระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์ 430,748 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 346,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ผ่อนชำระเป็นงวด หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที่ โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 27007 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ของจำเลยที่ 1 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้หากได้เงินไม่พอชำระ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนที่โจทก์และเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) มีสภาพเป็นคำฟ้อง ผู้ยื่นคำร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์จึงให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง ผู้ร้องจึงชำระค่าขึ้นศาลต่อศาลชั้นต้นเป็นเงิน 27,705 บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกคดีร้องขอเข้ามาในคดีได้โดยอาศัยสิทธิของตนเองเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม การที่ผู้ร้องร้องขอเข้ามาแทนที่โจทก์เสียทีเดียวทำนองเดียวกับมาตรา 57 (2) ย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา 57 (1) อนึ่ง ผู้ร้องชอบที่จะเรียกให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกหนี้แห่งสิทธิชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ร้องได้โดยตรง หากจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องที่รับโอนมา ผู้ร้องชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีใหม่ หรือในกรณีที่โจทก์เป็นผู้โต้แย้งสิทธิ ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นคดีใหม่ หรือร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีนี้ได้ แต่ตามคำร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องประการแรกว่าผู้ร้องมีสิทธิขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ตกเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจหน้าที่รวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของโจทก์ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในหมวด 4 ส่วนที่ 4 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ซึ่งมาตรา 123 บัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะขายทรัพย์สินที่รวบรวมได้มาตามวิธีที่สะดวกและเป็นผลดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการขายโดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาดต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยวิธีอื่นตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายเป็นการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจากการขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายจึงควรได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตาม ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินและได้มาซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์รวมถึงสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้จากการขายดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และมีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ได้ สิทธิของผู้ร้องที่จะร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีเช่นนี้หาจำต้องมีผู้ใดมาโต้แย้งสิทธิเสียก่อนหรือต้องร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องประการต่อไปมีว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี ก็โดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษามาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพากษากับจำเลยทั้งสองในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนอง และสัญญาค้ำประกัน ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองพิพาทกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่โดยอาศัยเหตุดังกล่าว มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่นอกเหนือไปจากสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง และเมื่อผู้ร้องได้ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งของศาลชั้นต้นมาแล้ว จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง อุทธรณ์ของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน”
พิพากษากลับว่า ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์และอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีได้ตามร้องขอ คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น 27,705 บาท แก่ผู้ร้อง

Share