คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 300/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่า จำเลยให้การว่าเดิมที่ๆ เช่ากันเป็นของจำเลย จำเลยกู้เงินโจทก์แล้วจำเลยไม่มีเงินใช้ให้จำเลยจึงเอาเรือนกับที่ดินจำนองโจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ว่าจำเลยขาดส่งดอกเบี้ย จึงให้จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่า จำเลยก็ทำหนังสือสัญญาเช่าให้ตอนที่โจทก์ขับไล่นี้ จำเลยจึงรู้ว่าที่โจทก์ให้จำเลยจำนองเรือนกับที่ดินนั้นเป็นการหลอกลวงจำเลย ความจริงโจทก์ได้บอกพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยโอนขายเรือนและที่ดินให้โจทก์ ทำให้จำเลยเข้าใจผิดในสาระสำคัญ เป็นการไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ในชั้นพิจารณา จำเลยแถลงรับว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านโจทก์จริง จะขอสืบพยานเพียงว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า 1 ปีแล้วโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในบ้านเช่าต่อไปและว่านอกจากนี้จำเลยไม่มีพยานสืบ ดังนี้ จึงเท่ากับว่าจำเลยไม่ขอต่อสู้เรื่องเข้าใจผิดในสาระสำคัญของสัญญาจำนองว่าเป็นสัญญาขายเมื่อศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยในข้อนี้เสียจึงเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ ต้องการ รื้อ เรือน ที่ จำเลย เช่า ไป ปลูก ใหม่ ได้ บอก ให้ จำเลย ทราบ แล้ว จำเลย ไม่ยอม ออก ขอให้ ขับไล่ จำเลย และ บริวาร กับ ให้ ชำระ ค่าเช่า ที่ ค้าง 3 ปี 1,050 บาท

จำเลย ให้การ ว่า เดิม จำเลย กู้เงิน โจทก์ แต่ หา เงิน ให้ โจทก์ ไม่ได้ จึง เอา เรือน กับ ที่ดิน ที่ ปลูกเรือน จำนอง ไว้ กับ โจทก์ โดย ตกลง กัน ว่า โจทก์ จะ ให้ ไถ่ คืน เมื่อ จำเลย หา เงินได้ ต่อมา โจทก์ ว่า จำเลย ขาด ส่ง ดอกเบี้ย จำนอง จึง ให้ จำเลย ทำ หนังสือ สัญญาเช่า คิด ต่าง ดอกเบี้ย จำนอง จำเลย ก็ ทำ หนังสือ สัญญาเช่า ให้ ต่อ จาก นั้น มา อีก โจทก์ บอก ให้ จำเลย ทราบ ว่า โจทก์ ต้องการ รื้อ เรือน และ บังคับ ให้ จำเลย ออก ไป อ้างว่า จำเลย ได้ โอน ขาย ที่ดิน ให้ โจทก์ แล้ว จำเลย จึง ได้ ทราบ ว่า ที่ โจทก์ ให้ จำเลย จำนอง เรือน และ ที่ บ้าน นั้น เป็น การ หลอกลวง จำเลย ความจริง โจทก์ ได้ บอก ให้ พนักงาน เจ้าหน้าที่ โอน ขาย เรือน และ ที่ บ้าน ให้ โจทก์ ทำให้ จำเลย เข้าใจผิด ใน สาระสำคัญ เป็น การ ไม่สมบูรณ์ ตาม กฎหมาย ขอให้ ยกฟ้อง

ใน ชั้นพิจารณา จำเลย รับ ว่า ได้ ทำ หนังสือ สัญญาเช่า บ้าน โจทก์ จริง มี กำหนด เวลา 1 ปี และ เมื่อ โจทก์ ไป ร้องทุกข์ ต่อ อำเภอ ใน เรื่อง นี้ จำเลย ได้ ให้ ถ้อยคำ ไว้ ใน คำ เปรียบเทียบ ของ อำเภอ ว่า เช่า มา เกิน 1 ปี แล้ว และ ค้าง ค่าเช่า ปี ละ 350 บาท จริง จำเลย จะ ขอสืบพยาน ว่า เมื่อ ครบ กำหนด 1 ปี ตาม สัญญาเช่า แล้ว โจทก์ ยอม ให้ จำเลย อยู่ ใน บ้านเช่า ต่อไป และ ว่า นอก จาก นี้ โจทก์ ไม่มี พยาน สืบ

ศาลชั้นต้น สืบพยานโจทก์ แล้ว สั่ง งดสืบพยาน จำเลย โดย เห็นว่า จำเลย ไม่มี ประเด็น จะ นำสืบ ฟัง ข้อเท็จจริง จาก พยานโจทก์ และ คำ เปรียบเทียบ ของ อำเภอ ว่า จำเลย ได้ เช่า บ้าน และ ที่ดิน ของ โจทก์ มี กำหนด 1 ปี เมื่อ ครบ กำหนด แล้ว โจทก์ ได้ บอก ให้ จำเลย ออก ไป จำเลย ไม่ยอม ออก ทั้ง ไม่ชำระ ค่าเช่า จึง พิพากษา ขับไล่ จำเลย และ บริวาร กับ ให้ จำเลย ชำระ ค่าเช่า ที่ ค้าง 3 ปี เป็น เงิน 1,050 บาท แก่ โจทก์ ด้วย

จำเลย อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

จำเลย ฎีกา 2 ข้อ คือ

(1) จำเลย มีสิทธิ นำสืบ ว่า โจทก์ ได้ หลอกลวง จำเลย ให้ ไป จำนอง แต่ ความจริง หา เป็น การ จำนอง ไม่ กลับ เป็น การ ขาย กรรมสิทธิ์

(2) จำเลย ค้าง ค่าเช่า เพียง ปีเดียว ไม่ใช่ 3 ปี

ศาลฎีกา พิจารณา แล้ว เห็นว่า ใน ฎีกา ข้อ 1 จำเลย ได้ แถลงรับ ไว้ ใน รายงาน พิจารณา แล้ว ว่า จำเลย ทำ หนังสือ สัญญาเช่า บ้าน โจทก์ จริง จะ ขอ สืบพยาน เพียง ว่า เมื่อ ครบ กำหนด ตาม สัญญาเช่า 1 ปี แล้ว โจทก์ ยอม ให้ จำเลย อยู่ ใน บ้านเช่า ต่อไป นอกจาก นี้ จำเลย ไม่มี พยาน สืบ ซึ่ง เท่ากับ จำเลย ไม่ ขอ ต่อสู้ เรื่อง เข้าใจผิด ใน สาระสำคัญ ของ สัญญาจำนอง ว่า เป็น สัญญา ขาย ฉะนั้น ที่ ศาลชั้นต้น สั่ง งดสืบพยาน ใน ข้อ นี้ เสีย จึง ชอบ ด้วย กระบวนพิจารณา แล้ว

ส่วนฎีกา ข้อ 2 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะฎีกาในข้อนี้

ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share