แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีก่อนแต่ในคดีก่อนศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้ประเด็นในคดีมีว่าบันทึกที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ทำขึ้นเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์นั้นจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันมิใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อนแม้คดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวแต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะว่าเป็นฟ้องซ้ำแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำก็ต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีย่อมไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่3128โจทก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปทำสัญญาขายฝากไว้แก่จำเลยเมื่อครบกำหนดตามระยะเวลาการขายฝากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากทั้งที่โจทก์ประสงค์จะขอไถ่ถอนแต่ภายหลังครบกำหนดระยะเวลาการไถ่ถอนแล้วโจทก์ติดต่อจำเลยเพื่อให้โอนที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้โจทก์ตลอดมาและเมื่อวันที่22ธันวาคม2530โจทก์จำเลยตกลงกันเกี่ยวกับหนี้สินที่มีต่อกันรวมทั้งหนี้ตามสัญญาขายฝากและหนี้ตามเช็คแลกเงินสดโดยมีข้อตกลงเป็นคำมั่นว่าหากโจทก์ชำระหนี้ให้จำเลยครบตามจำนวนที่เป็นหนี้กันเป็นเงินทั้งสิ้น592,700บาทแล้วจำเลยจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์โจทก์ได้ตอบรับคำมั่นจำเลยโดยชำระเงินในวันดังกล่าวจำนวน200,000บาทจำเลยบอกว่าหากโจทก์ชำระเงินที่เหลือจำนวน392,700บาทให้แก่จำเลยแล้วจำเลยก็จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และทำบันทึกเกี่ยวกับหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยไว้ต่อมาเดือนกันยายน2532โจทก์ขอชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลยและให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงแต่จำเลยไม่ยอมรับเงินและไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ต่อมาโจทก์ไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่นจึงทราบว่าจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นสามแปลงคือที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่58442โฉนดที่ดินเลขที่58443และที่ดินส่วนที่เหลือจากการแบ่งแยกดังกล่าวคงเหลือไว้ในโฉนดที่ดินเดิมหลังจากแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวแล้วจำเลยได้นำที่ดินทั้งสามแปลงไปทำสัญญาจำนองประกันหนี้เงินกู้ไว้แก่ธนาคารทหารไทยจำกัดสาขาขอนแก่นขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน392,700บาทจากโจทก์และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่3128โฉนดที่ดินเลขที่58442และโฉนดที่ดินเลขที่58443ซึ่งตั้งอยู่ตำบลในเมืองอำเภอเมืองขอนแก่นจังหวัดขอนแก่นคืนให้แก่โจทก์โดยปราศจากภาระหนี้สินผูกพันหากจำเลยไม่ไปขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและขอให้จำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวต่อธนาคารทหารไทยจำกัดสาขาขอนแก่นก่อนที่จะจดทะเบียนโอนคืนให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่าการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่1364/2532หมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นหรือไม่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วฟังว่าเป็นฟ้องซ้ำพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่1364/2532หมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นระหว่างนายกิตติอึ้งอารุณยะวีโจทก์นายชัยสิทธิ์รุ่งเพชรวงศ์จำเลยหรือไม่เห็นว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นแต่คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องมีข้อความว่าจำเลยทำบันทึกข้อตกลงเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์จำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าวว่าบันทึกที่โจทก์อ้างมิใช่คำมั่นและต้องห้ามมิให้รับฟังดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงมีว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันไม่ใช่ประเด็นเดียวกับประเด็นในคดีหมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นและแม้คดีของศาลชั้นต้นดังกล่าวโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวด้วยแต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และแม้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาว่าบันทึกดังกล่าวจะถือเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ด้วยแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1เห็นว่าปัญหาดังกล่าวมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทมาแต่ศาลชั้นต้นจึงไม่รับวินิจฉัยให้ดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษากลับนั้นยังไม่ถูกต้องที่ถูกจะต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1