แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยคดีนี้เป็น คู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีก่อนแต่ในคดีก่อนศาลชั้นต้น กำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้ประเด็นในคดีมีว่าบันทึกที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ทำขึ้นเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์นั้นจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันมิใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อนแม้คดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวแต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และแม้โจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ด้วยแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1ก็ไม่รับวินิจฉัยให้เนื่องจากเห็นว่าปัญหาดังกล่าวมิได้กำหนดเป็น ประเด็นข้อพิพาทมาแต่ศาลชั้นต้นดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลคดีนี้จึง ไม่เป็น ฟ้องซ้ำ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าคดีนี้ ไม่เป็น ฟ้องซ้ำแต่พิพากษากลับนั้นยังไม่ถูกต้องต้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่312โจทก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปทำสัญญาขายฝากไว้แก่จำเลยเมื่อครบกำหนดตามระยะเวลาการขายฝากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากแต่ภายหลังครบกำหนดระยะเวลาการไถ่ถอนแล้วโจทก์จำเลยตกลงกันเกี่ยวกับหนี้สินที่มีต่อกันรวมทั้งหนี้ตามสัญญาขายฝากและหนี้ตามเช็คแลกเงินสดโดยมีข้อตกลงเป็นคำมั่นว่าหากโจทก์ชำระหนี้ให้จำเลยครบตามจำนวนที่เป็นหนี้กันแล้วจำเลยจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์โจทก์ได้ตอบรับคำมั่นจำเลยโดยชำระเงินในวันดังกล่าวจำนวน200,000บาทจำเลยบอกว่าหากโจทก์ชำระเงินที่เหลือจำนวน392,700บาทให้แก่จำเลยแล้วจำเลยก็จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และทำบันทึกเกี่ยวกับหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยไว้ต่อมาโจทก์ขอชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลยและให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงแต่จำเลยไม่ยอมรับเงินและไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน392,700บาทจากโจทก์และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์โดยปราศจากภาระหนี้สินผูกพันหากจำเลยไม่ไปขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่าโจทก์ขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยแต่โจทก์ไม่ได้ไถ่ถอนหรือใช้สิทธิไถ่ถอนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากและเมื่อสิ้นกำหนดเวลาไถ่ถอนแล้วจำเลยไม่เคยรับว่าจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์จำเลยไม่เคยตกลงหรือให้คำมั่นใดๆแก่โจทก์ว่าจำเลยจะโอนที่ดินพิพาทที่จำเลยรับซื้อฝากไว้นั้นคืนให้แก่โจทก์บันทึกข้อความตามที่โจทก์อ้างเป็นบันทึกที่โจทก์ขอร้องให้จำเลยทำขึ้นโดยอ้างว่าจะนำไปให้พี่น้องของโจทก์ดูว่าโจทก์ยังมีหนี้สินติดค้างชำระต่อจำเลยอยู่และมิใช่คำมั่นบันทึกข้อความดังกล่าวโจทก์เคยอ้างประกอบคำฟ้องที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้รับไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่1364/2532หมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วการฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่1364/2532หมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นหรือไม่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วฟังว่าเป็นฟ้องซ้ำพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่1364/2532หมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นระหว่างนาย กิตติอึ้งอารุณยะวี โจทก์นาย ชัยสิทธิ์รุ่งเพชรวงศ์ จำเลยหรือไม่เห็นว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่1405/2533ของศาลชั้นต้นแต่คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องมีข้อความว่าจำเลยทำบันทึกข้อตกลงเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์จำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าวว่าบันทึกที่โจทก์อ้างมิใช่คำมั่นและต้องห้ามมิให้รับฟังดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงมีว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันไม่ใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีหมายเลขที่1405/2533ของศาลชั้นต้นและแม้คดีของศาลชั้นต้นดังกล่าวโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวด้วยแต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และแม้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ด้วยแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1เห็นว่าปัญหาดังกล่าวมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทมาแต่ศาลชั้นต้นจึงไม่รับวินิจฉัยให้ดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษากลับนั้นยังไม่ถูกต้องที่ถูกจะต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1