คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์นับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อน เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกา
การข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานอันจะต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 นั้น หมายถึงการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในทางสืบสายโลหิตโดยแท้จริง เพราะบทกฎหมายมาตรานี้ไม่ได้มุ่งลงโทษหนักขึ้นเฉพาะการกระทำแก่บุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงใช้คำว่า ‘กระทำแก่ผู้สืบสันดาน’ ดังนั้น การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา แม้ผู้นั้นจะมิใช่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้สืบสันดานตามความหมายของ มาตรา 285 นี้แล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงจันทิมาซึ่งเป็นผู้สืบสันดานของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 277, 285 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 10
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงจันทิมาผู้เสียหายจริงตามฟ้อง แต่เด็กหญิงจันทิมาไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยจึงลงโทษตามมาตรา 285 ไม่ได้ และขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุเกิน 13 ปีแล้วจึงนำบทบัญญัติมาตรา277 มาลงโทษไม่ได้ พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาประการแรกว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เสียหายเกิดวันที่ 26 พฤษภาคม 2514 เมื่อนับถึงวันเกิดเหตุคือก่อนวันที่ 13 เมษายน 2527 ผู้เสียหายจึงมีอายุยังไม่เกิน 13ปี ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้เสียหายมีอายุกว่า 13 ปี จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยนับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อนนั้น ข้อนี้เห็นว่า แม้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277จะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 เพราะศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องในความผิดตามกฎหมายมาตราดังกล่าวก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์นับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อนเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว และศาลฎีกาเห็นว่าในปัญหานี้ข้อเท็จจริงคงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าผู้เสียหายเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2514 เมื่อนับถึงวันกระทำความผิดก่อนวันที่13 เมษายน 2527 ผู้เสียหายจึงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ดังนั้น จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก
โจทก์ฎีกาประการต่อมาว่า การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายถือว่าเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดาน อันจะทำให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าผู้เสียหายเป็นบุตรของจำเลยซึ่งเกิดแต่นางมาลินนาจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากับนางมาลินนาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 4 คน เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 มุ่งประสงค์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดให้หนักขึ้น เพราะเหตุที่ได้กระทำแก่ผู้สืบสายโลหิตของตนลงมา ดังนั้นกฎหมายจึงใช้คำว่า’กระทำแก่ผู้สืบสันดาน’ ซึ่งแสดงว่าบทกฎหมายมาตรานี้ไม่ได้มุ่งลงโทษหนักขึ้นเฉพาะการกระทำแก่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่หมายถึงการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในทางสืบสายโลหิตโดยแท้จริง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บุพการีกับผู้สืบสันดานเป็นความสัมพันธ์ทางสายโลหิต จึงต้องถือตามความเป็นจริง กรณีนี้มิใช่มุ่งหมายถึงความสัมพันธ์ในทางครอบครัวตามหลักกฎหมายแพ่ง หาชอบที่จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ในการตีความคำว่าผู้สืบสันดานในทางอาญาไม่ การที่จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา แม้ผู้เสียหายจะมิใช่เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้สืบสันดานตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 แล้วจำเลยจะต้องได้รับโทษหนักขึ้นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 285 ให้ลงโทษจำคุก 12 ปี.

Share