แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ.2487 บ. ได้ยกที่ดินให้ จ. ผ. และโจทก์ที่ 3 โดยให้โจทก์ที่ 2 มีสิทธิเก็บกินต่อมา พ.ศ.2510 จ. ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ที่ 2 และใน พ.ศ.2513 ผ. ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 1 ประมาณ พ.ศ.2505 จำเลยได้ทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ทักท้วง จำเลยหยุดทำ ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2510 จำเลยทำรั้วขึ้นใหม่ต่อจากที่ทำไว้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่พิพาทประมาณ 2 ตารางวา โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟัง ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำ จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้ว ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาดังข้อต่อสู้หรือไม่ ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ได้ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนของ ผ. มาโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริตจำเลยจึงมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ที่ 1 ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริตประเด็นข้อพิพาทของคดีจึงมีประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด และไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ที่ 1 ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนของ ผ. ไว้โดยสุจริต และจดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อที่ไม่มีประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 แม้ศาลชั้นต้นจะหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ต้องถือว่าไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา คู่ความจะหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาหาได้ไม่และแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว (อ้างฎีกาที่ 1958/2511)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2487 นายบรรจงได้ยกที่ดินให้เด็กหญิงจิราภรณ์ เด็กชายเผ่าศิริ และโจทก์ที่ 3 โดยให้โจทก์ที่ 2 มีสิทธิเก็บกิน ต่อมา พ.ศ. 2510 นางสาวจิราภรณ์ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ที่ 2 และใน พ.ศ. 2513 นายเผ่าศิริ ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 1 ประมาณ พ.ศ. 2505 จำเลยได้ทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ทักท้วง จำเลยหยุดทำ ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2510 จำเลยทำรั้วขึ้นใหม่ต่อจากที่ทำไว้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่พิพาทประมาณ 2 ตารางวา โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟัง ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปีได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้ว
ในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ศาลชั้นต้นจึงกะประเด็นว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาดังข้อต่อสู้หรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่เจ้าของร่วมกับโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต นับแต่ได้รับโอนมาถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี จำเลยจึงอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาททางครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ พิพากษาว่าแนวเขตระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยเป็นแนวตรงให้จำเลยรื้อถอนสิ่งที่รุกล้ำเป็นแนวโค้งเข้ามาในที่ดินโจทก์ออกไปถ้าจำเลยไม่รื้อ ให้โจทก์รื้อถอนแล้วทำรั้วขึ้นใหม่ โดยจำเลยเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโดยมิได้มีการแบ่งแยกครอบครองเป็นส่วนสัด จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 และอยู่ในบังคับแห่งเงื่อนไขตามมาตรา 302 เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แม้โจทก์ที่ 1 จะเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 แต่ลำพังไม่อาจฟ้องเรียกที่พิพาทคืนมาเพื่อประโยชน์ของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างเพียงว่า เมื่อ พ.ศ. 2505 จำเลยทำรั้วรุกล้ำเข้ามา โจทก์ทักท้วง จำเลยหยุด ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2510 จำเลยทำรั้วขึ้นใหม่ต่อจากที่ทำไว้ โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟัง ส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ครอบครองที่พิพาทมาเกิน 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้ว ตามคำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่า โจทก์ที่ 1 ได้ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนของนายเผ่าศิริมาโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยจึงมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ที่ 1 ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริตตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย ประเด็นข้อพิพาทของคดีจึงมีประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า ฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาดังข้อต่อสู้หรือไม่เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อที่ไม่มีประเด็นขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เมื่อไม่มีประเด็นในเรื่องนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ก็ต้องถือว่าไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา คู่ความจะหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาหาได้ไม่ และแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 มาตรา 1359 และมาตรา 302 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1958/2511 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยทำรั้วรุกล้ำเข้าไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามประเด็นข้อพิพาท
พิพากษายืน