คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2988/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยหลอกลวงต่อบุคคลต่างราย เกิดขึ้นคนละสถานที่และต่างวันเวลากัน แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการหลอกลวงบุคคลกลุ่มเดียวกันด้วยเจตนาในการกระทำผิดอย่างเดียวกัน มีการจ่ายเงินให้แก่จำเลยเหมือนกัน ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือระหว่างเดือนเมษายน 2539 เวลากลางวันถึงปลายเดือนสิงหาคม 2539เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยหลอกลวงนางดารุณี โคตรคำ คนหางานว่าสามารถหางานให้นางดารุณีไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยนางดารุณีต้องเสียค่าบริการและค่าใช้จ่ายจำนวน 70,000 บาท แก่จำเลยอันเป็นความเท็จ ซึ่งความจริงจำเลยไม่สามารถหางานในประเทศเกาหลีใต้ได้และไม่มีเจตนาหางานให้นางดารุณีไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ด้วยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้นางดารุณีผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อและมอบเงินจำนวน 70,000 บาท ให้แก่จำเลยไประหว่างต้นเดือนกรกฎาคม 2539 เวลากลางวัน ถึงปลายเดือนสิงหาคม 2539 เวลากลางวันต่อเนื่องกันจำเลยหลอกลวงนายวรรณะ อาจประจักษ์ คนหางาน ว่าสามารถหางานให้นายวรรณะไปทำงานที่โรงงานทำขวดแก้วในประเทศเกาหลีใต้ โดยนายวรรณะต้องเสียค่าบริการและค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวน 70,000 บาทแก่จำเลย อันเป็นความเท็จ ซึ่งความจริงจำเลยไม่สามารถหางานที่โรงงานทำขวดแก้วที่ประเทศเกาหลีใต้ได้ และไม่มีเจตนาหางานให้นายวรรณะไปทำงานที่โรงงานทำขวดแก้วในประเทศเกาหลีใต้ ด้วยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้นายวรรณะผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อและมอบเงินจำนวน70,000 บาท ให้แก่จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 และให้จำเลยคืนเงินแก่นางดารุณีและนายวรรณะคนละ 70,000 บาท กับให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ 6207/2540 และ 1624/2541 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 6 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่นางดารุณี โคตรคำ และนายวรรณะอาจประจักษ์ คนละ 70,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ 6207/2540 และ 1624/2541 ของศาลชั้นต้นนั้นไม่ปรากฏว่าคดีทั้งสองดังกล่าวได้มีคำพิพากษาแล้วจึงไม่นับโทษต่อให้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อกลางเดือนเมษายน 2539 จำเลยไปหานางดารุณีที่บ้านชักชวนให้นางดารุณี และนายสุรินทร์สามีนางดารุณีไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้เงินเดือนขั้นต่ำ 18,000 บาท แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 70,000 บาท นางดารุณีและสามีตกลงไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ จึงนำเงินจำนวน 120,000 บาท ไปมอบแก่จำเลยที่บริษัทเอเด้นการ์เด้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ของจำเลยถนนรัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 ต่อมานายสุรินทร์นำเงินอีก 20,000 บาท มาชำระแก่จำเลยที่บริษัทของจำเลยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม2539 และจำเลยไปหานายประเทืองที่บ้าน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 บอกว่า สามารถจัดหางานให้นายวรรณะบุตรชายของนายประเทืองไปทำงานกระจกแก้วที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้ค่าจ้างเดือนละ 18,000 บาท ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 70,000 บาท นายประเทืองตกลงให้นายวรรณะไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 นายประเทืองมอบเงินสดจำนวน 70,000 บาทให้นายวรรณะไปโอนเงินไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขามัญจาคีรี เห็นว่า การกระทำของจำเลยแม้จะเป็นการหลอกลวงบุคคลกลุ่มเดียวกันด้วยเจตนาในการกระทำผิดอย่างเดียวกัน มีการจ่ายเงินให้แก่จำเลยเหมือนกัน แต่จำเลยหลอกลวงต่อบุคคลต่างราย เกิดขึ้นคนละสถานที่และต่างวันเวลากัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน”

พิพากษายืน

Share