แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด และเรียกที่ดินพิพาทคืน หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงิน 226,400 บาท ดังนี้เป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนคดีของโจทก์ทั้งสองเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อโจทก์ที่ 1 ผู้เดียวฎีกา ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงเหลือเพียงราคาที่ดินของโจทก์ที่ 1 เรียกคืนจำนวน133,200 บาท ไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ที่ 1 ยื่นฎีกา ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น โดยเชื่อว่าศาลชั้นต้นขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินทั้งสองแปลงเป็นการซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทของป.ในฐานะผู้จัดการมรดก ส่วนของ น.จึงมีเพียงหนึ่งในห้าส่วนของที่ดินที่ น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วย การขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวย่อมหมายความเฉพาะส่วนของน. ไม่รวมส่วนที่น.ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตนั้นล้วนแต่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรมีสิทธิได้รับมรดกของนายประเสริฐเป็นที่ดินคนละ 66.6 ตารางวา ทรัพย์มรดกส่วนนี้นางน๊ะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาท ต่อมานางสมพร แตงอ่อน เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนางน๊ะในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 204/2524 ของศาลชั้นต้น นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์มรดกทั้งสองโฉนด เฉพาะส่วนที่นางน๊ะถือกรรมสิทธิ์ออกขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อทรัพย์มรดกทั้งสองโฉนดได้จากการขายทอดตลาดโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์มรดกของนายประเสริฐไม่ใช่ทรัพย์ส่วนตัวของนางน๊ะ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยรู้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 538 และ 117104 ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตามรายการจดทะเบียนลงวันที่ 4พฤศจิกายน 2528 และให้โจทก์ทั้งสองได้รับส่วนที่ดินที่เพิกถอนกลับคืน เนื้อที่คนละ 66.6 ตารางวา หากจำเลยทั้งสองไม่จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์กลับคืนมา ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน และถ้าจำเลยทั้งสองไม่สามารถปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 266,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทตามประกาศขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น ไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายประเสริฐ โจทก์ทั้งสองทราบการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทของศาลตลอดมาแต่ก็ไม่ได้ร้องขัดทรัพย์หรือโต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของนางน๊ะให้แก่จำเลยที่ 1 ตามหนังสือของศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว โจทก์ทั้งสองจะมาฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายไม่ได้ และโจทก์ทั้งสองไม่ได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและเรียกที่ดินพิพาทคืน หากไม่สามารถคืนได้ก็ขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดและจำเลยที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงิน266,400 บาท เป็นการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน คดีของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อโจทก์ที่ 1 แต่ผู้เดียวฎีกาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงเหลือเพียงราคาที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่เรียกคืนจำนวนเงิน 133,200 บาท เท่านั้นซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์ที่ 1 ยื่นฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นโดยเชื่อว่าศาลชั้นต้นขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจำนวนหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดินทั้งสองแปลงเป็นการซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1330 การที่โจทก์ที่ 1ฎีกาว่า นางน๊ะถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทของนายประเสริฐในฐานะผู้จัดการมรดก ส่วนของนางน๊ะจึงมีเพียงหนึ่งในห้าส่วนของที่ดินที่นางน๊ะถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ที่ 1 ด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวนั้น ย่อมหมายความเฉพาะส่วนของนางน๊ะซึ่งไม่รวมส่วนที่นางน๊ะถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอื่นในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตนั้น ล้วนแต่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ที่ 1 มานั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ที่ 1 แต่โจทก์ที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีชั้นฎีกาอย่างคนอนาถา จึงไม่มีค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องคืนให้ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ