แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 43 ข้อ 2 มีความมุ่งหมายว่า ไม่ประสงค์จะให้ควบคุมบุคคลไว้ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา จึงกำหนดให้คณะกรรมการพิจารณาและมีคำสั่งทุกระยะ 3 เดือนว่าให้ควบคุมต่อไปหรือให้ปล่อยไป การที่คณะกรรมการมิได้พิจารณาและมีคำสั่งให้ควบคุมตัวนายปุ่นไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การควบคุมในช่วงระยะเวลานั้นจึงไม่ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว หากนายปุ่นหลบหนีการควบคุมในช่วงระยะเวลานั้น นายปุ่นก็ไม่มีความผิดฐานหลบหนีการควบคุม(อ้างนัยฎีกา 105/2506) แต่การที่คณะกรรมการไม่มีคำสั่งให้ทันเมื่อครบ 3 เดือน จนเวลาล่วงมาระยะหนึ่งดังกล่าว จึงได้พิจารณามีคำสั่งให้ควบคุมตัวนายปุ่นไว้ต่อไป เช่นนี้ไม่เป็นเหตุทำให้คำสั่งหลัง ๆ นั้นไม่ชอบด้วยประการใด เพราะตัวนายปุ่นก็ยังต้องควบคุมอยู่ตลอดมา เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาและมีคำสั่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 43 ข้อ 2 ให้ควบคุมไว้ต่อไป ก็ต้องถือว่านายปุ่นได้กลับถูกควบคุมไว้โดยชอบด้วยประกาศดังกล่าวอีก เมื่อนายปุ่นหลบหนีการควบคุมจำเลยซึ่งมีหน้าที่ควบคุมต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 205.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการเป็นหัวหน้าควบคุมบุคคลอันธพาลตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๓ และมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ต้องคุมขังตามอำนาจของพนักงานสอบสวนและของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวน จำเลยได้กระทำการโดยประมาท ปล่อยให้พลตำรวจอุไร รับตัวนายปุ่น เภาทอง ผู้ต้องควบคุมตามประกาศดังกล่าวออกนอกบริเวณสถานที่ควบคุมโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตโดยชอบดวยกฎหมาย โดยจำเลยชะล่าใจว่าพลตำรวจอุไรจะควบคุมนายปุ่น เภาทอง ได้ และชะล่าใจว่านายปุ่นเ ภาทอง จะไม่หลบหนีพลตำรวจอะไรไปและจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังได้โดยไม่ยอมอนุญาตและปล่อยนายปุ่น เภาทอง ให้ไปกับพลตรวจอุไร แต่จำเลยมิได้กระทำ เป็นเหตุให้นายปุ่น เภาทอง หลบหนีไปและไม่สามารถจับกุมมาได้ในกำหนด ๓ เดือน ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๐๕
จำเลยให้การรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง แต่ต่อสู้ข้อกฎหมายว่า คณะกรรมการที่มีอำนาจควบคุมบุคคลอันธพาลไม่ได้มีคำสั่งควบคุมตัวนายปุ่น เภาทอง ไว้ทุก ๓ เดือน ตามคำสั่งของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๓ ฉะนั้น การที่นายปุ่น เภาทอง หลบหนีไป จึงไม่มีความผิด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การควบคุมนายปุ่นได้ขาดตอนไปตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๐๕ โดยมิได้มีคำสั่งของคณะกรรมการให้ควบคุมไว้ คณะกรรมการจึงไม่มีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้ควบคุมตัวนายปุ่นไว้ได้อีก คำสั่งให้ควบคุมตัวในตอนหลังจังไม่ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวติฉบับที่ ๔๓ การที่นายปุ่นหลบหนีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ จึงไม่เป็นการหลบหนีในระหว่างต้องคุมขังตามประกาศคณะปฏิวัติฯ แม้จำเลยกระทำโดยประมาท ก็ไม่ผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งฉบับหลัง ๆ ที่กรรมการมีคำสั่งให้ควยคุมต่อไปใช้บังคับได้ จำเลยมีหน้าที่ควบคุม ต้องมีความผิด พิพากษากลับ ลงโทษตามมาตรา ๒๐๕ ลดโทษ ๑ ใน ๓ จำคุก ๑ เดือน ๑๐ วัน รอการลงโทษ ๖ เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้ง ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมมีคำสั่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๓ ข้อ ๑ ให้ส่งตัวนายปุ่นซึ่งเป็นบุคคลอันธพาลไปเข้ารับการฝึกอาชีพเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๕ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาปล่อยผู้รับการอบรมหรือให้ควบคุมไว้(ส่วนจังหวัด) มีคำสั่งให้ควบคุมต่อไปเป็นครั้งที่ ๒ นับแต่วันสั่ง คือวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๐๕ ครบ ๓ เดือนวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๐๕ แต่ปรากฏว่า เมื่อครบ ๓ เดือนแล้ว คณะกรรมการซึ่งมีอำนาจตามประกาศคณะปฏิวัติฯ ไม่ได้มีคำสั่งประการใด ต่อมาวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๐๕ คณะกรรมการได้มีคำสั่งลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๐๕ ให้ควบคุมตัวนายปุ่นต่อไปเป็นครั้งที่ ๓ กับครั้งต่อ ๆ ไป วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๖, ๖ กันยายน ๒๕๐๖ และ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๐๖ ตามลำดับ และนายปุ่นได้หลบหนีไปจากการควบคุมของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ ซึ่งอยู่ภายในระยะเวลา ๓ เดือน นับแต่วันที่คณะกรมการมีคำสั่งครั้งสุดท้าย ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๔๓ ข้อ ๒ กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณาและมีคำสั่งทุก ๆ ๓ เดือน ว่าบุคคลที่ถูกควบคุมนั้น บุคคลใดควรให้ควบคุมไว้ต่อไป หรือให้ปล่อยตัวไป แสดงให้เห็นความมุ่งหมาว่า
ไม่ประสงค์จะให้ควบคุมบุคคลเหล่านี้ไว้ตลอดไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา จึงกำหนดให้คณะกรรมการพิจารณาและมีคำสั่งทุกระยะ ๓ เดือนว่า ให้ควบคุมต่อไปหรือให้ปล่อยตัวไป จึงเป็นว่าการที่คระกรรมการมิได้พิจารณาและมีคำสั่งให้ควบคุมตัวนายปุ่นไว้ต่อไปนับแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๐๕ ถึง ๑๐ ตุลาคม ๒๕๐๕ การควบคุมนายปุ่นไว้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว หากนายปุ่นจะหลบหนีการควบคุมไปในช่วงระยะเวลานี้ นายปุ่นก็ไม่มีความผิดฐานหลบหนีการควบคุมตามนัยฎีกาที่ ๑๐๕/๒๕๐๖ แต่การควบคุมตัวนายปุ่น เภาทอง ในช่วงระยะเวลาระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๐๕ ถึงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๐๕ ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำสั่งของคณะกรรมการให้ควบคุมในครั้งหลัง ๆ ต่อมา จะเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่คณะกรรมการไม่มีคำสั่งให้ทันเมื่อครบ ๓ เดือน จนเวลาล่วงมาระยะหนึ่ง จึงได้พิจารณามีคำสั่งให้ควบคุมไว้ต่อไปเช่นนี้ ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้คำสั่งหลัง ๆ นั้นไม่ชอบด้วยประการใด เพราะนายปุ่น เภาทอง ก็ยังต้องควบคุมอยู่ตลอดมา เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาและมีคำสั่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๓ ข้อที่ ๒ ให้ควบคุมไว้ต่อไปแล้ว ก็ต้องถือว่านายปุ่น เภาทอง
ได้กลับถูกควบคุมไว้โดยชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๔๓ + เมื่อนายปุ่น เภาทอง หลบหนีการควบคุมไป จำเลยมีหน้าที่ควบคุม จึงต้องมีความผิด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว พิพากษายืน.