แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อตกลงเพิ่มเติมซึ่งให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าเรือจะใช้คำว่า สัญญาเช่าเรือและข้อตกลงเรื่องค่าเรือจอดรอ (ค่าชดใช้เรือเสียเวลา) ก็ตามแต่ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นสัญญาประเภทใดนั้นจะต้องดูจากเนื้อหาสาระของข้อตกลงเป็นสำคัญหาใช่ดูแต่เพียงชื่อของสัญญาไม่ เนื้อหาสาระสำคัญของสัญญาเช่าเรือฉบับพิพาทเป็นเรื่องสัญญาจ้างเหมาะระวางบรรทุกของเรือโดยมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างเหมาระวางบรรทุกของเรือเพื่อการเดินทางเที่ยวเดียว มิใช่เป็นเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์ตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537เพราะผู้เช่าเรือมิได้รับมอบการครอบครองให้ใช้เรือจากโจทก์ผู้ให้เช่าเรือ แต่พนักงานของโจทก์ยังคง เป็นผู้ควบคุมดูแลและดำเนินการต่าง ๆ ภายในเรื่องที่ ให้เช่าทั้งหมด นอกจากนั้นแล้วค่าชดเชยในเรื่อง ค่าเรือจอดรอ (ค่าชดใช้เรือเสียเวลา) ซึ่งโจทก์เรียกร้อง เอาจากจำเลย ก็มิใช่เป็นการฟ้องเกี่ยวแก่สัญญาเช่า เพราะมิใช่ เป็นกรณีการฟ้องในเรื่องการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าแต่อย่างใดกรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของอายุความ 6 เดือน ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563เมื่อข้อตกลงเรื่องค่าชดเชยค่าเรือจอดรอ(ค่าชดใช้เรือเสียเวลา) ตามสัญญาเป็นข้อตกลงพิเศษนอกเหนือไปจากหน้าที่และความรับผิดของผู้ให้เช่าและผู้เช่า ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งคู่สัญญาสามารถตกลงกันได้และไม่มีอายุความบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความตามบทบัญญัติมาตรา 193/30 มาใช้บังคับ คือ มีกำหนด 10 ปี โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์และไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 หรือยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองกระทำการในนามของจำเลยที่ 1ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นนายหน้าของโจทก์และได้ยื่นคำเสนอให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์ตามคำเสนอเอกสารหมาย ล.1 แต่จำเลยที่ 1 บอกปัดคำเสนอ และให้จำเลยที่ 2 ติดต่อกับบริษัทม.ในเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นผู้เช่าเรือที่แท้จริง โจทก์จึงเป็นฝ่ายมีภาระการพิสูจน์ในปัญหาที่ว่าใครเป็นผู้ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาเช่าเรือโจทก์ให้บรรทุกปูนซีเมนต์บรรจุถุงจำนวน 13,000 เมตริกตัน จากเมืองท่านามโป ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีมายังประเทศไทย โดยมีข้อตกลงว่า ผู้เช่าเรือมีหน้าที่บรรทุกสินค้าลงเรือและขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าใช้เวลาล่าช้าไปจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ผู้เช่าเรือต้องรับผิดชำระค่าเรือจอดรอในอัตราวันละ2,500 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และต้องชำระภายในกำหนด30 วัน นับแต่วันสิ้นสุดการขนถ่ายสินค้า จำเลยที่ 1 ใช้เวลาบรรทุกสินค้าลงเรือที่เมืองท่าต้นทางล่าช้าไปจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ 10.28 วันจึงต้องรับผิดชำระค่าเรือจอดรอเป็นจำนวน 25,700 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และจำเลยที่ 1 ใช้เวลาขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือที่เกาะสีชังและที่ท่าเรือกรุงเทพเสร็จสิ้นในวันที่ 22 มกราคม 2535 ล่าช้าไปจากระยะเวลาที่กำหนดไว้19.91 วัน จึงต้องรับผิดชำระค่าเรือจอดรอเป็นจำนวน49,775 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น75,475 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเท่ากับเงินไทยจำนวน1,951,028.75 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่กำหนดชำระคือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 ซึ่ง 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเท่ากับเงินไทย 25.85 บาท และเนื่องจากจำเลยที่ 2 เชิดตัวเองกระทำการในนามของจำเลยที่ 1 หรือ จำเลยที่ 1 ทราบอยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองกระทำการในนามของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงินจำนวน2,083,725.43 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,951,028.75 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน605,536.25 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาตามเอกสารหมาย จ.6 จะใช้คำว่า สัญญาเช่าเรือและข้อตกลงเรื่องค่าเรือจอดรอ (ค่าชดใช้เรือเสียเวลา) ตามข้อ 20 แห่งข้อตกลงเพิ่มเติม ให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าเรือก็ตามแต่ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นสัญญาประเภทใดนั้น จะต้องดูจากเนื้อหาสาระของข้อตกลงเป็นสำคัญหาใช่ดูแต่เพียงชื่อของสัญญาไม่ซึ่งเมื่อพิเคราะห์เนื้อหาสาระสำคัญของสัญญาเช่าเรือเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวแล้ว เป็นที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องสัญญาจ้างเหมาระวางบรรทุกของเรือ โดยมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างเหมาระวางบรรทุกของเรือเพื่อการเดินทางเที่ยวเดียว หาใช่เป็นเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 ไม่ ทั้งนี้เพราะผู้เช่าเรือมิได้รับมอบการครอบครองให้ใช้เรือจากโจทก์ผู้ให้เช่าเรือแต่อย่างใด โดยพนักงานของโจทก์ยังคงเป็นผู้ควบคุมดูแลและดำเนินการต่าง ๆ ภายในเรือที่ให้เช่าทั้งหมดนอกจากนั้นแล้วค่าชดเชยในเรื่องค่าเรือจอดรถ (ค่าชดใช้เรือเสียเวลา) ซึ่งโจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ก็มิใช่เป็นการฟ้องเกี่ยวแก่สัญญาเช่าเพราะมิใช่เป็นกรณีการฟ้องในเรื่องการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ในบังคับของอายุความ6 เดือน ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563และข้อตกลงเรื่องค่าชดเชยค่าเรือจอดรอ (ค่าชดใช้เรือเสียเวลา)ตามสัญญาดังกล่าว เป็นข้อตกลงพิเศษนอกเหนือไปจากหน้าที่และความรับผิดของผู้ให้เช่าและผู้เช่า ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งคู่สัญญาสามารถตกลงกันได้และไม่มีอายุความบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น จึงต้องนำอายุความตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30มาใช้บังคับ คือ มีกำหนด 10 ปี ดังนั้นเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือที่โจทก์อ้างเป็นมูลเรียกร้องค่าชดเชยเรือจอดเสียเวลากระทำในปี 2535 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่18 มกราคม 2536 เป็นเวลาไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาต่อไปมีว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ว่า จำเลยที่ 1ทำสัญญาเช่าเรือจากโจทก์และมีข้อตกลงในเรื่องค่าเรือจอดรอหรือไม่มีความล่าช้าในการขนถ่ายสินค้าหรือไม่ โจทก์เป็นนิติบุคคลและมีอำนาจฟ้องหรือไม่ อำนาจฟ้องของโจทก์และคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยไว้แต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้นำสืบพยานจนสิ้นกระแสความทั้งสองฝ่ายแล้วและเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยต่อไป ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าเรือจากโจทก์และมีข้อตกลงในเรื่องค่าเรือจอดรอหรือไม่นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่ 1ฟังได้ว่ามูลคดีเกิดจากการที่องค์การคลังสินค้าได้สั่งซื้อปูนซิเมนต์จากบริษัทแมนฟูลเทรดดิ้ง จำกัด เมืองฮ่องกงโดยขอให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาเยาวราชเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตชำระค่าปูนซิเมนต์และค่าระวางเรือตามเอกสารหมาย ล.3 แต่บริษัทแมนฟูล เทรดดิ้ง จำกัดไม่มีหน้าที่ต้องทำการขนส่งปูนซิเมนต์ให้แก่องค์การคลังสินค้าต่อมาได้มีการเช่าเรือแอสตร้าของโจทก์บรรทุกปูนซิเมนต์มาส่งให้แก่องค์การคลังสินค้า ในปัญหาที่ว่าใครเป็นผู้ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์นั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ทำสัญญาเช่าเรือ “แอสตร้า” ของโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1ไม่เคยทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์และไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 หรือยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองกระทำการในนามของจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นนายหน้าของโจทก์และได้ยื่นคำเสนอให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์ตามคำเสนอเอกสารหมาย ล.1 แต่จำเลยที่ 1 บอกปัดคำเสนอ และให้จำเลยที่ 2 ติดต่อกับบริษัทแมนฟูล เทรดดิ้ง จำกัดในเมืองฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้เช่าเรือที่แท้จริง ดังนั้น โจทก์จึงเป็นฝ่ายมีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ แต่พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักพอฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญาเช่าเรือของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในเรื่องค่าเรือจอดรอตามฟ้อง
พิพากษายืน