แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523 อ้างว่า ป. ขายที่พิพาทให้แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขาย ป.ถึงแก่ความตายเสียก่อน ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองโอนที่พิพาทให้ โจทก์ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ป.ไม่เคยขายที่พิพาทให้จำเลย จำเลยบุกรุกเข้ามาและทำลายต้นไม้ในที่พิพาทเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองเป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยตัดทำลายต้นไม้ในที่พิพาทโดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่พิพาทเพราะจำเลยบุกรุกเข้ามาก็ตาม แต่ก็ได้ความจากฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้ามาครอบครองที่พิพาทนั้นโจทก์ทั้งสองย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะได้เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทมาในฟ้องแย้งเสียพร้อมกันในครั้งนั้น การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจากจำเลยในคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2523
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า สิบตำรวจเอกปัญญาเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส.๓ จำนวน ๓ แปลง เมื่อสิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายที่ดินดังกล่าวได้ตกทอดแก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุตร จำเลยใช้รถไถเข้าทำการไถที่ดินและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลง ต่อมาจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดน่าน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ โดยอ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินทั้งสามแปลงไว้จากสิบตำรวจเอกปัญญาแต่สิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายเสียก่อน ขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้จากที่ดินเดือนละไม่น้อยกว่า ๑,๕๐๐ บาท ถ้าให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นค่าเสียหาย ๔๖,๕๐๐ บาทขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ ๑,๕๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า สิบตำรวจเอกปัญญาได้ขายที่ดินทั้งสามแปลงได้มอบ น.ส.๓ พร้อมทั้งที่ดินให้จำเลย แต่ยังมิได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายเสียก่อน จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลา ๓ ปีเศษแล้ว จึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยเคยฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ เรื่องขอแสดงสิทธิครอบครองคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๓ จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดน่าน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ อ้างว่าสิบตำรวจเอกปัญญาขายที่พิพาททั้งสามแปลง (คือที่พิพาทในคดีนี้) ให้ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สิบตำรวจเอกปัญญาถึงแก่ความตายเสียก่อน ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองโอนที่ดินให้ โจทก์ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าสิบตำรวจเอกปัญญาไม่เคยขายที่พิพาทให้จำเลย จำเลยบุกรุกที่ดินเข้ามาและทำลายต้นไม้ในที่พิพาทเสียหายเป็นเงิน ๓๔,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ ศาลจังหวัดน่านพิพากษาคดีดังกล่าวให้ยกฟ้องของจำเลยและยกฟ้องของโจทก์ทั้งสอง จำเลยและโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๔ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทตามฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ เป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายในที่ดินทั้งสามแปลงเช่นเดียวกับคดีนี้ แม้จะปรากฏว่าฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยตัดทำลายต้นไม้ในที่พิพาท โดยมิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่พิพาท เพราะจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่พิพาทก็ตามแต่ก็ได้ความชัดจากฟ้องแย้งแล้วว่าเมื่อจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่พิพาทนั้น โจทก์ทั้งสองย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะได้เรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทมาในฟ้องแย้งเสียพร้อมกันในครั้งนั้นแล้ว การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจากจำเลยในคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓/๒๕๒๓ ซึ่งเป็นเรื่องอำนาจฟ้องที่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๕)
พิพากษายืน