คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระบุให้จำเลยผู้เช่าซื้อมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงตามบันทึกโดยอาศัยเหตุอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ในบันทึกนี้ การจะยกเลิกข้อตกลงนั้นจึงต้องมีเหตุอื่น ๆ อันจะเป็นหลักแห่งข้ออ้างในการเลิกข้อตกลง และเหตุอื่น ๆ นั้น น่าจะเป็นหรือเกิดจากการกระทำของคู่สัญญา ในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการผิดเงื่อนไขข้อสัญญาแต่ประการใด ระยะเวลาให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยนั้นระบุไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้ง การเปลี่ยนระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยของจำเลยนั้นเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบโดยไม่มีเหตุอันควรจะอ้าง จึงรับฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยไม่ชำระเบี้ยประกันเป็นการผิดข้อตกลงตามสัญญา จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ได้มีหนังสือเตือนให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยรับรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนในสภาพปัจจุบันโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อและบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อเกี่ยวกับรายละเอียดการประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อจริง แต่ตามบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๙ ระบุว่า จำเลยมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงตามบันทึกนี้ได้โดยเหตุอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ในบันทึกนี้ และไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และไม่ถือเป็นความรับผิดของจำเลยแต่อย่างใด การยกเลิกข้อตกลงตามบันทึกฉบับนี้หรือการยกเลิกการเอาประกันภัยตามข้อ ๖ , ๗ และ ๘ ของบันทึกไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าเช่าซื้อซึ่งโจทก์จะต้องชำระตามสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อข้อ ๙ นั้น เป็นสิทธิของจำเลยที่สงวนไว้แต่ฝ่ายเดียวในอันที่จะยกเลิกข้อตกลงตามบันทึกนี้ได้ จำเลยได้ใช้สิทธินี้โดยแจ้งให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือแล้วเพื่อให้โจทก์ทราบว่าจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัยในปีที่ ๓ เอง เนื่องจากจำเลยได้ขอสงวนสิทธิที่จะยกเลิกระยะเวลาการจัดทำประกันภัยที่เกินกว่า ๒ ปี นั้น โดยอาศัยสิทธิตามบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ การประกันภัยรถยนต์คันที่เช่าซื้อในปีที่ ๓ จึงไม่ใช่หน้าที่ของจำเลย การที่โจทก์ไม่ทำประกันภัยต่อในปีที่ ๓ จึงเป็นการเสี่ยงภัยของโจทก์เอง ต่อมาโจทก์ได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อเกินกว่า ๒ งวด ติดต่อกัน ซึ่งจำเลยมีสิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๕ จำเลยมิได้ผิดสัญญา หากโจทก์ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้จำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน และจะต้องคืนรถยนต์คันที่เช่าซื้อให้แก่จำเลย ณ สถานที่ที่จำเลยจะกำหนดให้ แต่โจทก์กลับเพิกเฉย ยึดหน่วง และครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้อเรื่อยมาจนปัจจุบัน จำเลยยังไม่สามารถติดตามกลับคืนมาได้ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่โจทก์อ้างว่ารถยนต์คันที่เช่าซื้อเกิดอุบัติเหตุ ได้รับความเสียหาย หากเป็นจริงก็เกิดจากการกระทำของโจทก์ซึ่งโจทก์จะต้องรับผลเสี่ยงภัยจากการกระทำของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๗๕๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยรับรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไปในสภาพปัจจุบัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว… มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยจะยกเลิกข้อตกลงนี้ โดยอาศัยสัญญาข้อ ๙ ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาข้อ ๙ ระบุว่า “ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงตามบันทึกฉบับนี้ได้ โดยอาศัยเหตุอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ในบันทึกนี้…” เห็นว่า การจะยกเลิกข้อตกลงนั้นจะต้องมีเหตุอื่น ๆ อันจะเป็นหลักแห่งข้ออ้างในการเลิกข้อตกลง และเหตุอื่น ๆ นั้น น่าจะเป็นหรือเกิดจากการกระทำของคู่สัญญา ในคดีนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำการผิดเงื่อนไขข้อสัญญาแต่ประการใด ระยะเวลาให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยนั้นระบุไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้ง การเปลี่ยนระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยของจำเลยนั้น เป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบโดยไม่มีเหตุอันควรจะอ้าง จึงรับฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นการผิดข้อตกลงตามสัญญา จำเลยย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือเตือนให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยตามเอกสารหมาย จ. ๙ แล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์บอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ. ๑๕ และใบตอบรับเอกสารหมาย จ. ๑๖ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว…
พิพากษายืน.

Share