แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทส่วนของโจทก์แล้วหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริง มิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ดังนี้ เมื่อประเด็นในชั้นอุทธรณ์มีเพียงว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์จำเลย หรือเป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งได้มาโดยหักร้างถางป่า และเรื่องค่าเสียหาย เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ตั้งปัญหาขึ้นเองว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทในส่วนของโจทก์หรือไม่ และวินิจฉัยว่าจำเลยได้แย่งการครอบครอง โจทก์หมดสิทธิในที่ดินแปลงพิพาทส่วนของโจทก์เพราะมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนั้น จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายและเป็นคำวินิจฉัยที่มิชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งบิดามารดาครอบครองมา เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมจึงตกเป็นมรดกแก่โจทก์จำเลยครอบครองร่วมกัน ต่อมาทางราชการได้ทำถนนผ่าน เป็นเหตุให้ที่ดินถูกแบ่งออกเป็น 2 แปลง ด้านทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ ด้านทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โจทก์จำเลยได้แบ่งการครอบครองที่ดินแต่ละด้านคนละครึ่ง โดยแปลงด้านทิศเหนือได้ขอออก น.ส.3 เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับที่ดินด้านทิศใต้ปรากฏว่าจำเลยได้ขอออก น.ส.3 เป็นของจำเลยทั้งหมด โจทก์จึงคัดค้านและขอให้จำเลยกันส่วนของโจทก์ซึ่งโจทก์ครอบครองอยู่ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์มีส่วนในที่ดินมรดกด้านทิศใต้ครึ่งหนึ่ง และเพิกถอนการขอออก น.ส.3 ของจำเลย หรือให้จำเลยยอมให้โจทก์มีชื่อร่วมในการขอออก น.ส.3 ตามส่วนของโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินแปลงพิพาททั้งแปลงเป็นของจำเลยได้มาโดยหักร้างถางป่า โจทก์มาขออาศัยอยู่เป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา เมื่อจำเลยขอออก น.ส.3 สำหรับที่ดินแปลงทิศใต้ทั้งแปลง โจทก์ได้คัดค้านและฟ้องเป็นคดีนี้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาขับไล่โจทก์กับใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินแปลงพิพาททั้งแปลงเป็นมรดกของบิดามารดาตกทอดแก่ทายาท และได้แบ่งแยกกันครอบครองกับจำเลยเป็นสัดส่วนแล้วขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงพิพาทไม่เป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์และขับไล่โจทก์และบริวาร กับให้ใช้ค่าเสียหายปีละ 1,200 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์จำเลยและตั้งปัญหาว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองส่วนของโจทก์ไปแล้วหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทจนได้สิทธิครอบครอง โจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองโจทก์จึงหมดสิทธิในที่ดินแปลงพิพาทแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยในผล แล้วพิพากษาแก้สำหรับค่าเสียหายโดยกำหนดให้ปีละ 85 บาท ฯลฯ
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ตั้งปัญหาเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์หรือไม่ แล้ววินิจฉัยให้โจทก์แพ้คดี เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น คำฟ้อง คำให้การ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยได้เอง
จำเลยฎีกาว่า ที่ดินแปลงพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์จำเลย ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นการคลาดเคลื่อน
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่ดินแปลงพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาซึ่งตกทอดแก่โจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวว่าตามคำฟ้องของโจทก์ คำให้การฟ้องแย้งของจำเลยและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์คดีคงมีประเด็นโต้เถียงกันว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่ดินมรดกของบิดามารดาโจทก์จำเลยหรือเป็นที่ดินของจำเลยเองโดยจำเลยได้หักร้างถางป่ามาแล้วให้โจทก์อาศัยอยู่ และเรื่องค่าเสียหายเท่านั้น คดีหาได้มีประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องการแย่งการครอบครองหรือถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แต่ประการใดไม่ ในฟ้องอุทธณ์ของโจทก์และคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยก็มีปัญหาโต้เถียงกันแต่เพียงว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์จำเลยหรือเป็นทรัพย์ของจำเลยเองโดยจำเลยหักร้างถางป่ามา และในเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นไม่มีปัญหาโต้เถียงกันในเรื่องการแย่งการครอบครองหรือถูกแย่งการครอบครองแต่ประการใดซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีโดยเพียงแต่พิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ เอกสารและหลักฐานทั้งปวงในสำนวนความซึ่งศาลชั้นต้นส่งขึ้นมาเท่านั้น ทั้งปัญหาที่ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองส่วนของโจทก์แล้วหรือไม่นั้น เป็นเรื่องข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ตั้งปัญหาขึ้นเองว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทในส่วนของโจทก์แล้วหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทในส่วนของโจทก์จนได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว และโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิในที่ดินแปลงพิพาทแล้วนั้น จึงเป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความดังกล่าวข้างต้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ การอยู่ในที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์จึงไม่ใช่อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลย จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์และเรียกค่าเสียหาย
พิพากษากลับ ให้โจทก์มีส่วนในที่ดินแปลงพิพาทครึ่งหนึ่ง และให้โจทก์มีชื่อร่วมในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทตามส่วนของโจทก์ด้วย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย