คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินกู้ 45,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีเพียงว่ากู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง15,000 บาทชำระแล้ว 5,000 บาท คงค้างอยู่อีก 10,000 บาท สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอม ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าตนเป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องได้ระงับไปโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย อันเป็นการห้ามการนำสืบและการรับฟัง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจหยิบยกเอาปัญหาในประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไป 45,000 บาท ครบกำหนดชำระเงินคืนแล้วจำเลยไม่ชำระขอให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปเพียง 15,000 บาท ชำระต้นเงินไปแล้ว 5,000 บาท คงค้างเพียง 10,000 บาท สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมจำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้เงินตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันยอมรับผิดเท่าที่จำเลยที่ 1 กู้ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ 78,750 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 45,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยหากจะมีต่อกันก็เป็นอันระงับยกเลิกไปแล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำเอาหนี้ตามสัญญากู้ฉบับพิพาทมาฟ้องพิพากษากลับยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ให้การสู้คดีเพียงว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง 15,000 บาท ชำระแล้ว 5,000 บาท คงค้างอยู่อีก 10,000 บาท สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอม ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าตนเป็นเพียงผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองมิได้อ้างหรือยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การเลยว่า หนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องได้ระงับไปโดยสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็มิได้ตั้งประเด็นที่จะให้จำเลยนำสืบในประเด็นข้อนี้ไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าการนำสืบของจำเลยทั้งสองในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย อันเป็นการต้องห้ามการนำสืบและการรับฟังที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเอาปัญหาในประเด็นข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยและชี้ขาดคดีจึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ

ส่วนปัญหาข้อเท็จจริง ตามฎีกาโจทก์มีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองกู้เงินตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นแห่งคดีไว้ว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดหนี้เงินตามฟ้องเพียงใด เห็นว่า ข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นเป็นการสมควรที่จะย้อนสำนวนเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวเสียก่อน

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีดังกล่าวข้างต้นแล้วพิพากษาคดีเสียใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share