คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ย 20,625 บาทจำเลยให้การว่า ได้ชำระแก่โจทก์แล้วสองคราว ๆ แรกชำระดอกเบี้ยด้วยเงินสด 1,500 บาท ครั้งที่สองชำระด้วยเช็ค 12,000 บาท แต่ถึงกำหนดเช็คไม่มีเงิน จึงถูกโจทก์แจ้งความเอาผิดต่อตำรวจจำเลยได้นำเงิน 12,000 บาทไปมอบให้พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้บันทึกและให้โจทก์เซ็นรับเงินดังกล่าวไว้ในบันทึกนั้นแล้ว จำเลยย่อมนำสืบอ้างบันทึกซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้ว่าได้มีการใช้เงินได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินกู้และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 20,625 บาทแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าได้กู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องจริง แต่จำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์แล้วสองระยะ คือชำระดอกเบี้ย 1,500 บาทให้แก่ตัวแทนของโจทก์ต่อมาจำเลยออกเช็คอีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 12,000 บาท ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ๆ นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินไม่ได้ได้แจ้งความต่อตำรวจจำเลยได้นำเงินจำนวนตามเช็คไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ต่อหน้าพนักงานสอบสวน จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อีก 7,125 บาท เท่านั้น

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยคงค้างชำระเงินแก่โจทก์อยู่ 7,125 บาท พิพากษาให้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างทั้งสองสำหรับข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ และวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนำสืบการใช้เงินว่า เมื่อโจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาไม่มีการใช้เงินตามเช็คตามที่จำเลยต่อสู้มานั้น จำเลยได้นำเงิน 12,000 บาท ไปมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อมอบแก่โจทก์พนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกไว้แล้วให้โจทก์เซ็นรับไป จำเลยย่อมนำสืบถึงการใช้เงินรายนี้ได้ เพราะจำเลยมีหลักฐานเป็นหนังสือ คือบันทึก (เอกสารหมาย ล.4) ที่โจทก์ผู้ให้ยืมลงลายมือชื่อไว้มาแสดงแล้ว

พิพากษายืน

Share