แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีโจทก์ฟ้องด้วยวาจา ศาลต้องบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐาน หาจำต้องบันทึกไว้โดยละเอียดไม่ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตาม พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 โดยโจทก์ได้ระบุข้อเท็จจริงที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดแล้ว กล่าวคือ จำเลยขับรถบรรทุกมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดบนทางหลวงอันเป็นความผิด ทั้งได้ระบุสถานที่ที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี โจทก์ไม่จำเป็นต้องระบุข้อเท็จจริงว่าเป็นทางหลวงสายใด คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 6, 61, 73, 75
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 จำคุก 3 เดือน และปรับ 6,000 บาท จำเลยรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน ไม่ลดโทษให้ แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษ โดยอัยการพิเศษประจำเขต 8 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาซึ่งตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐาน หาจำต้องบันทึกไว้โดยละเอียดไม่ และก่อนศาลบันทึกฟ้องดังกล่าว ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกระทำความผิดได้ แต่ก็จะบันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น เมื่อพิจารณาใจความที่ศาลบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ประกอบกับบันทึกการฟ้องด้วยวาจาที่โจทก์ส่งต่อศาลแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2537 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยขับรถบรรทุกชนิดรถลากจูงและรถกึ่งพ่วงบรรทุกปูนซีเมนต์มีน้ำหนักยานพาหนะหรือน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ เรื่องห้ามใช้ยานพาหนะโดยที่ยานพาหนะนั้นมีน้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนดเดินบนทางหลวง ลงวันที่ 1 กันยายน 2535 ซึ่งเป็นการระบุข้อเท็จจริงที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดแล้ว กล่าวคือ จำเลยขับรถบรรทุกมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดบนทางหลวงอันเป็นความผิด ทั้งได้ระบุสถานที่ที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ และจำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี หาจำต้องระบุข้อเท็จจริงว่าเป็นทางหลวงสายใดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี และให้คุมความประพฤติของจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อหนึ่งครั้ง ตลอดระยะเวลาที่รอการลงโทษ และให้จำเลยละเว้นการประพฤติอันใดที่อาจนำไปสู่การกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้อีก ตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่งและวรรคสอง.