คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2929/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยผู้ขนส่งสินค้าทางทะเลบรรทุกสินค้าไม่รัดกุมพอ ใช้อุปกรณ์ผูกรัดตลอดจนวิธีการผูกรัดตู้คอนเทนเนอร์ไม่มั่นคงพอที่จะป้องกันความเสียหายอันเกิดจากคลื่นลมแรงได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าไม่อาจหาวิธีการอื่นใดในการผูกรัดและป้องกันการตกลงไปในทะเลของตู้คอนเทนเนอร์ให้ดีกว่าที่ปฏิบัติแล้วได้ อีกทั้งก่อนออกเรือนายเรือก็ทราบข่าวพยากรณ์อากาศว่าจะเกิดคลื่นลมแรง หากจะหยุดเรือรอจนกว่าคลื่นลมสงบก่อนก็ได้แต่ยังเดินเรือต่อไป เมื่อมีคลื่นลมแรงจัดซัดน้ำทะเลเข้าหาตัวเรือและดาดฟ้าเรือกระแทกตู้คอนเทนเนอร์จนลวดสลิงและโซ่ที่ใช้ผูกรัดตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกสินค้าของโจทก์อาจจะยืดหรือขาดทำให้ตู้คอนเทนเนอร์ตกลงไปในทะเล กรณีจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 616

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการรับจ้างขนส่งสินค้าทางทะเล เมื่อ พ.ศ. 2530โจทก์สั่งซื้อเส้นใยฝ้าย จำนวน 408 กล่อง น้ำหนัก 2,900 กิโลกรัมจากบริษัทพอลฮาร์ทแมนอัคเตี่ยนเกเซลซาฟท์ ประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ขาย ผู้ขายมอบหมายให้บริษัทสเชนเคอร์แอนด์โกจีเอ็มบีเอช จัดส่งสินค้ามายังประเทศไทย ด้วยการจ้างจำเลยขนส่งสินค้ารายนี้ โดยบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์นำลงเรือชื่อ บางกอกนาวีต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2531 จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่าระหว่างการขนส่งนั้นสินค้าของโจทก์ทั้งหมดตกลงไปในทะเลและสูญหายทำให้โจทก์ไม่ได้รับสินค้า คิดเป็นค่าเสียหายตามมูลค่าของสินค้าดังกล่าวเป็นเงิน 310,732.51 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 310,732.51 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีกรรมการที่มีอำนาจลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราผูกพันโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สินค้าของโจทก์สูญหาย เพราะเหตุสุดวิสัยเนื่องจากในระหว่างขนส่งมาทางทะเลประสบมรสุมคลื่นลมแรงจัด และโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินความจริง อีกทั้งโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาการรับขนสินค้ารายนี้กับจำเลย และสัญญามิได้ทำในประเทศไทย จึงนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับไม่ได้ ต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการขนส่งทางทะเลของประเทศเยอรมนีมาใช้บังคับจำเลยจำกัดความรับผิดไว้ในใบตราส่งสำหรับความเสียหายหรือสูญหายเพียง 100 ปอนด์ ต่อ 1 หีบห่อ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 310,732.51 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความนำสืบตรงกันและมิได้ฎีกาโต้เถียงกันว่า เมื่อพ.ศ. 2530 โจทก์สั่งซื้อสินค้าเส้นใยฝ้ายจำนวน 408 กล่อง น้ำหนัก2,900 กิโลกรัม จากบริษัทพอลฮาร์ทแมนอัคเตี่ยนเกเซลซาฟท์ประเทศเยอรมนี บริษัทผู้ขายมอบให้บริษัทสเชนเคอร์แอนด์โกจีเอ็มบีเอชเป็นผู้จัดส่งสินค้ามาให้โจทก์ในประเทศไทย และบริษัทสเชนเคอร์แอนด์โกจีเอ็มบีเอชได้ว่าจ้างจำเลยขนส่งสินค้ารายนี้ สินค้าบรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์และขนส่งโดยเรือบางกอกนาวี ระหว่างการขนส่งสินค้าของโจทก์ดังกล่าวตกลงไปในทะเลและสูญหายไป
ประเด็นต่อมามีว่า สินค้าของโจทก์สูญหายเพราะเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่านายเรือของจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังในการเดินเรืออย่างเพียงพอแล้ว หากแต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องรับขนของทางทะเล ซึ่งขณะเกิดข้อพิพาทพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ยังไม่มีผลใช้บังคับ ทั้งไม่ปรากฏคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นว่าด้วยรับขนของทางทะเล จึงต้องวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเพียงบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันได้แก่ บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 8 รับขน มาตรา 616 ซึ่งบัญญัติว่าผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการสูญหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายบุญเดช มีวงศ์อุโฆษพยานจำเลยและบันทึกการคัดค้านเกี่ยวกับทะเล เอกสารหมาย ล.2 ว่าขณะเกิดเหตุเกิดพายุลมแรง เรือบางกอกนาวีที่บรรทุกสินค้ารายพิพาทกำลังแล่นอยู่ในบริเวณอ่าวบิสเคย์ สินค้าของโจทก์ซึ่งบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ตั้งอยู่บนดาดฟ้าเรือ จำเลยนำสืบว่า คลื่นลมแรงจัดซัดน้ำทะเลเข้าหาตัวเรือและดาดฟ้าเรือกระแทกตู้คอนเทนเนอร์จนลวดสลิงและโซ่ที่ใช้ผูกรัดตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกสินค้าของโจทก์ติดกับตู้คอนเทนเนอร์อีก 2 ตู้ อาจจะยืดหรือขาด ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสามตู้ตกลงไปในทะเล จากการนำสืบของจำเลยดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ชัดว่าการบรรทุกสินค้าไม่รัดกุมพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อุปกรณ์ผูกรัดตลอดจนวิธีการผูกรัดตู้คอนเทนเนอร์ไม่มั่นคงพอที่จะป้องกันความเสียหายอันเกิดจากคลื่นลมแรงได้ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าการขนส่งสินค้าทางทะเลโดยเรือสินค้า มรสุมคลื่นลมแรงในทะเลย่อมเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าไม่อาจหาวิธีการอื่นใดในการผูกรัดและป้องกันการตกลงไปในทะเลของตู้คอนเทนเนอร์ให้ดีกว่าที่ปฏิบัติแล้วได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนายยุน ไว มิง นายเรือลำที่เกิดเหตุว่า ก่อนที่เรือจำเลยจะออกจากช่องแคบอังกฤษ ได้ทราบข่าวการพยากรณ์อากาศว่าจะเกิดคลื่นลมแรงมาก่อนแล้ว ดังนั้น หากนายเรือของจำเลยจะหยุดเรืออยู่ที่ช่องแคบอังกฤษรอจนกว่าคลื่นลมในอ่าวบิสเคย์สงบก่อนจึงค่อยออกเรือต่อไป ภัยพิบัติก็จะไม่เกิด จึงเป็นเรื่องที่นายเรือของจำเลยจะป้องกันได้ การที่นายเรือจำเลยอ้างว่าได้ทราบพยากรณ์อากาศแล้วยังเดินเรือต่อไปเพราะเห็นว่าไม่เป็นอันตรายสำหรับเรือขนาดบรรทุก 20,500 ตัน นับว่าเป็นความประมาทของนายเรือจำเลยโดยแท้ฉะนั้น จึงมิใช่เหตุสุดวิสัยดังที่จำเลยฎีกา เมื่อจำเลยมีภาระในการพิสูจน์ถึงเหตุสุดวิสัยเพื่อให้พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 แต่นำสืบไม่ได้ตามคำให้การ จำเลยก็ต้องรับผิด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share