คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทมาจาก ช.โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและตึกแถวนั้นจาก ช. ไว้ก่อนแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้เพราะเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ส่วนข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์กับ ช.นิติกรรมดังกล่าวย่อมสมบูรณ์อยู่ตลอดไปโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้นั้น ก็ฟังไม่ขึ้นเพราะ ช. มิได้เป็นโจทก์ในคดีนี้อันจำเลยจะฟ้องแย้งได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและตึกแถวของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวดังกล่าวและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวดังกล่าว
จำเลยให้การว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากนายชายเจ้าของเดิมโดยทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและบ้านนั้นจากเจ้าของเดิมแล้วจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตปิดบังฉ้อฉลจำเลยและหากโจทก์เสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 500 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นการฉ้อฉลจำเลยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทจากนายชายโดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้ก่อนเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริตโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทไม่ได้ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์กับนายชายนิติกรรมนี้ย่อมสมบูรณ์อยู่ตลอดไป โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้นั้นเห็นว่านายชายมิได้เป็นโจทก์ในคดีนี้อันจะฟ้องแย้งได้ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share