คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2926/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก กำหนดให้โจทก์ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินมรดกให้ทายาทผู้ตายโดยให้มีถนนเข้าสู่ที่ดินทุกแปลง เมื่อโจทก์เพียงแต่โอนที่ดินใส่ชื่อทายาทของผู้ตายลงในโฉนด แต่ยังมิได้จัดการแบ่งแยกที่ดินและทำถนนการจัดการมรดกจึงยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินอันเป็นมรดกของผู้ตายได้
เมื่อจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาท แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินนั้นติดต่อกันมาเกิน 10 ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองออกจากที่ดินที่เช่า ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ได้โอนที่พิพาทให้แก่ทายาทของผู้ตายแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่า ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายธวัชผู้ตายได้ทำพินัยกรรมกำหนดให้โจทก์เป็นผู้จัดการแบ่งทรัพย์สินของนายธวัชให้เป็นไปตามพินัยกรรม นอกจากที่ดินแล้วนายธวัชยังมีทรัพย์สินอีกหลายอย่างที่โจทก์จะต้องจัดการ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่นายธวัชทำพินัยกรรมยกให้แก่บุตรทั้งสามคนของตน ซึ่งตามพินัยกรรมนอกจากจะยกที่ดินให้แก่บุตรแล้วยังกำหนดให้แบ่งที่ดินโดยให้มีถนนเข้าทุกแปลงด้วย โจทก์เพียงแต่โอนที่ดินใส่ชื่อบุตรทั้งสามของนายธวัชลงในโฉนดที่ดินเท่านั้น ยังมิได้จัดการแบ่งแยกที่ดินและทำถนนเข้าที่ดินทุกแปลงตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม จึงถือว่าการจัดการมรดกของโจทก์ยังไม่เสร็จสิ้นเมื่อจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว โจทก์อ้างว่าการทำถนนต้องผ่านบ้านของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ครอบครองอยู่ดังนั้นโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากนายธวัชแม้จำเลยทั้งสองจะครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาเกิน ๑๐ ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ดังจำเลยต่อสู้ จำเลยจึงต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท และชำระค่าเช่าที่ค้างกับชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน.

Share