แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าหุ้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่เพียงใด เป็นการกำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ ประเด็นที่กำหนดไว้จะมีความหมายอย่างไร ต้องเป็นไปตามคำฟ้องและคำให้การโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าหุ้นที่ซื้อแทนจำเลยพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์ยังมิได้จัดให้จำเลยได้รับใบหุ้น ไม่ทราบว่าโจทก์จัดการซื้อหุ้นให้จำเลยจริงหรือไม่หรือหากซื้อหุ้นให้จำเลยได้ การซื้อขายหุ้นซึ่งมิได้ออกใบหุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือเป็นโมฆะจำเลยไม่ต้องรับผิดค่าหุ้นคดีจึงไม่มีประเด็นว่า โจทก์นำหุ้นของจำเลยไปขายกับรับเงินปันผลไว้แทนจำเลยหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อซื้อมาแล้วถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นก็จะสั่งขายทันที โดยหุ้นที่ซื้อมาจะให้โจทก์เก็บรักษาไว้เพื่อความสะดวกในการสั่งขาย ดังนี้ หุ้นที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็นหลักทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะ และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของจำเลยเป็นการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้นมากกว่าประสงค์ให้มีการโอนใบหุ้นใส่ชื่อผู้ซื้อ การซื้อขายหุ้นจึงไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ ขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับโจทก์ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ จำเลยได้มอบหมายให้โจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นจำนวนหลายครั้งหลายรายการ และเมื่อได้คิดบัญชีกันแล้ว จำเลยยังค้างชำระตามรายการเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๒ โดยจำเลยได้มอบหมายให้โจทก์ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัดจำนวน ๔๐๐ หุ้น ในราคาหุ้นละ ๑,๖๖๐ บาท เป็นเงินรวมจำนวน ๖๖๔,๐๐๐ บาท จำเลยได้ชำระค่าหุ้นให้โจทก์แล้วเป็นเงินจำนวน ๒๖๕,๖๐๐ บาท จึงคงค้างชำระอยู่อีกจำนวน ๓๙๘,๔๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๓ – ๑๘ ต่อปี นับแต่ผิดนัดจนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ เป็นค่าดอกเบี้ยจำนวน ๑๑๓,๖๙๑.๓๕บาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๕๑๒,๐๙๑.๓๕ บาท โจทก์ได้ทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๕๑๒,๐๙๑.๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปีจากต้นเงินจำนวน ๓๙๘,๔๐๐ บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้มอบให้โจทก์เป็นนายหน้าซื้อหุ้นบริษัทราชาเงินทุน จำกัด จำนวน ๔๐๐ หุ้น ในราคา ๖๖๔,๐๐๐ บาทเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ต่อมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๕๒๒ โจทก์ได้แจ้งว่า ได้จัดการให้จำเลยได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวแล้วและให้จำเลยนำมัดจำจำนวน ๔๐เปอร์เซ็นต์ไปวางเพื่อเป็นหลักฐาน จำเลยจึงได้ชำระเงินมัดจำรวมทั้งค่านายหน้าให้แก่โจทก์ไปจำนวน ๒๖๘,๙๒๐ บาท แต่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่นายหน้าไม่สำเร็จ เพราะโจทก์ยังมิได้จัดให้จำเลยได้รับใบหุ้นและจำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ได้จัดการให้จำเลยได้ซื้อหุ้นจริงหรือไม่ หรือหากจัดการซื้อหุ้นดังกล่าวให้จำเลยได้ การซื้อขายหุ้นซึ่งมิได้ออกใบหุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือหุ้นจึงไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๘, ๑๑๒๙ จำเลยยังไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าหุ้นตามฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยได้มอบหมายให้โจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์หลายครั้งหลายรายการ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๒ จำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด จำนวน ๔๐๐ หุ้น ราคาหุ้นละ ๑,๖๖๐ บาท โจทก์ได้ซื้อตามคำสั่งของจำเลยและแจ้งให้จำเลยทราบ โจทก์ชำระราคาให้ผู้ขายไปแล้วจำเลยได้ชำระค่าหุ้นเป็นเงิน ๒๖๕,๖๐๐ บาท กับค่าธรรมเนียมสั่งซื้ออีก ๓,๓๒๐ บาทให้โจทก์ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๒๒ จำเลยค้างชำระอีก ๓๙๘,๔๐๐ บาท
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้นำหุ้นที่โจทก์ซื้อแทนจำเลยไปขายแล้ว โจทก์มิได้นำเงินค่าหุ้นที่ขายไปกับเงินปันผลที่โจทก์รับไว้แทนจำเลยมาหักบัญชีเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เป็นประเด็นข้อ ๒ ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ค่าหุ้นพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์หรือไม่เพียงใดก็ตาม แต่ก็เป็นการกำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ ประเด็นที่กำหนดไว้จะมีความหมายอย่างไรต้องเป็นไปตามคำฟ้องและคำให้การ จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์ยังมิได้จัดให้จำเลยได้รับใบหุ้น และจำเลยไม่ทราบว่า โจทก์ได้จัดการให้จำเลยได้ซื้อหุ้นจริงหรือไม่ หรือหากจัดการซื้อหุ้นดังกล่าวให้จำเลยได้ การซื้อขายหุ้นซึ่งมิได้ออกใบหุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือหุ้นจึงไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๒๘, ๑๑๒๙ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าหุ้น โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี เพราะตามสัญญากำหนดอัตราสูงสุดไว้เพียงร้อยละ ๑๕ เท่านั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ถึงเรื่องที่โจทก์นำหุ้นที่ซื้อไว้แทนจำเลยไปขายกับโจทก์รับเงินปันผลจากหุ้นของจำเลยที่โจทก์รับไว้แทนมาหักหนี้ให้จำเลย จึงไม่มีประเด็นว่า โจทก์นำหุ้นของจำเลยไปขายกับรับเงินปันผลไว้แทนจำเลยหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยให้การว่า การซื้อขายหุ้นไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ เพราะมิได้ออกใบหุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือหุ้นและโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
ปัญหาที่จำเลยให้การโต้แย้งว่า การซื้อขายหุ้นที่จำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อแทนจำเลยไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ เพราะมิได้ออกใบหุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๒๘, ๑๑๒๙ นั้น ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยได้ความว่า จำเลยให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสั่งซื้อและขายหุ้นของบริษัทต่าง ๆ หลายครั้งเมื่อสั่งซื้อมาแล้วถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นก็จะสั่งขายไปทันที โดยหุ้นที่ซื้อมาจะให้โจทก์เก็บรักษาไว้เพื่อความสะดวกในการสั่งขาย ดังนี้ หุ้นที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็นหลักทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะ และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของจำเลยเป็นการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้นมากกว่าประสงค์ให้มีการโอนใบหุ้นใส่ชื่อผู้ซื้อ จึงไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ การที่โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยตามคำสั่งซื้อไม่เป็นโมฆะ จำเลยต้องชำระหนี้ค่าหุ้นที่โจทก์ชำระแทนไป ส่วนที่โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปตามรายละเอียดหนี้คงค้าง เอกสารท้ายฟ้องหมาย ๕ นั้น ตามข้อตกลงการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยตามเอกสารหมาย จ.๒ จำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์คิดค่าปรับ (ดอกเบี้ย) ร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี จำเลยจึงรับผิดชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระให้โจทก์จำนวน ๓๙๘,๔๐๐ บาทกับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ จำนวน ๔๐,๘๓๓.๒๗ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓๘๙,๔๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ ไปจนกว่าชำระเงินเสร็จให้โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๔๓๙,๒๓๓.๒๗ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๓๙๘,๔๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ ไปจนกว่าชำระเงินเสร็จให้โจทก์.