แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแจ้งความต่อห. กำนัน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำหน้าที่ ให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 จำเลยฎีกาว่า ห.เป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำความผิดเสียเอง มิใช่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ทั้งยังใช้จำเลยเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด โดยใช้ให้จำเลยเป็นผู้ลงข้อความเป็นเท็จลงไปการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด ดังนี้ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยเป็นยุติไว้แล้ว เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า ห. เป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ห. เป็นนายทะเบียนมีหน้าที่รับแจ้งการย้าย และได้ลงชื่อเป็นผู้รับแจ้งข้อความตามที่ปรากฏในเอกสารใบแจ้งการย้ายที่อยู่ท.ร.17 ซึ่งเป็นข้อความเท็จตามที่จำเลยมาแจ้งแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิด การที่ ห. ใช้ให้จำเลยหรือบุคคลใดเป็นผู้เขียนหรือจดข้อความลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 แทนห. ไม่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 267, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ลงโทษจำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้ไปแจ้งความต่อนายเหรียญ ทองดี กำนันตำบลสระเยาว์ อำเภอกันทรลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ให้จดข้อความลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 ว่า นางอุ่น เที่ยงธรรมเจ้าบ้านมอบให้จำเลยแจ้งย้ายเด็กชายบุญลอด เที่ยงธรรม และเด็กชายผาง เที่ยงธรรม ออกจากบ้านเลขที่ 084 หมู่ที่ 6ตำบลสระเยาว์ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ไปอยู่บ้านเลขที่676/108 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ความจริงแล้วนางอุ่นเจ้าบ้านมิได้มอบหมายให้จำเลยกระทำการดังกล่าวแต่ประการใด นายเหรียญรับแจ้งไว้โดยใช้ให้จำเลยจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวลงไปในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 โดยนายเหรียญลงชื่อในฐานะนายทะเบียนผู้รับการแจ้งย้าย ปรากฏตามใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 ตอนที่ 1 เอกสารหมาย จ.4 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่านายเหรียญผู้รับแจ้งการย้ายจากจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำความผิดเสียเอง มิได้เป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ทั้งยังใช้จำเลยเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยดังกล่าว ประสงค์จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่านายเหรียญเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง อันเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยเป็นยุติไว้แล้ว ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่านายเหรียญเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า นายเหรียญเป็นผู้ใช้ให้จำเลยจดข้อความอันเป็นเท็จลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 โดยนายเหรียญมิได้เป็นผู้จดข้อความอันเป็นเท็จด้วยตนเอง แต่ลงชื่อไว้ในฐานะเป็นนายทะเบียนผู้รับแจ้ง จะทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อนายเหรียญเป็นนายทะเบียนมีหน้าที่รับแจ้งการย้าย และได้ลงชื่อเป็นผู้รับแจ้งข้อความตามที่ปรากฏในเอกสารใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 ซึ่งเป็นข้อความเท็จตามที่จำเลยมาแจ้งแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิด การที่นายเหรียญจะใช้ให้บุคคลใดเป็นผู้เขียนหรือจดข้อความลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 แทนนายเหรียญหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้การกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 แต่อย่างใดไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน