แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งแปลง แม้ในตอนท้ายจะมีข้อความว่า ‘ได้พยายามพูดจาให้จำเลยทั้งสองออกไปเสียจากบ้านเลขที่ 5อันเป็นบริเวณสุสาน’ ซึ่งอาจเข้าใจว่าหมายถึงเฉพาะให้จำเลยออกจากศาลาที่อยู่อาศัย แต่ก็ยังมีคำว่า บริเวณสุสานติดต่อกันไป อันหมายความได้ว่าให้จำเลยทั้งสองออกจากบริเวณสุสานนั่นเอง ทั้งในตอนสุดท้ายของคำฟ้องมีข้อความว่า ‘จำเป็นต้องฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงถ่านออกไปเสียจากบริเวณบ้านเลขที่ 5 ซึ่งเป็นบริเวณของสุสานด้วย’เห็นได้ชัดว่า โจทก์ต้องการขับไล่จำเลยออกจากที่ทั้งแปลงคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านเลขที่ 5 อันเป็นบริเวณสุสาน จึงเป็นการขอให้บังคับจำเลยทั้งสองออกจากที่ทั้งแปลง มิใช่เพียงเฉพาะขอให้บังคับจำเลยออกจากศาลาและให้รื้อถอนโรงถ่าน
คดีพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลงซึ่งโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทุนทรัพย์เป็นการถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตีราคาทรัพย์ที่พิพาทและเรียกค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ฎีกาตามราคาทุนทรัพย์ แต่ที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลสำหรับศาลชั้นต้นไว้ให้ครบ โดยเรียกไว้เพียง 50 บาทเป็นการคลาดเคลื่อนไปนั้น ทำให้เกิดความผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาด ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่น ๆหรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผล
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ เป็นคดีของศาลชั้นต้นสำนวนเดียวกัน เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่ม โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามคำสั่ง แล้วได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นอีกฉบับหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฉบับรวมกัน โจทก์ฎีกาขึ้นมาทั้ง 2 สำนวน ศาลฎีกาพิจารณารวมกัน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายราวานา มานา ไวดีโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2489ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก นายไวตีได้ทำพินัยกรรมตั้งไว้เป็นทรัพย์ทรัสต์สงวนไว้เป็นสุสานฮินดู นางสุทธาบุตรสาวได้จ้างนายเย็นและจำเลยที่ 1 ดูแลรักษา ต่อมานายเย็นตาย จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับดูแล แต่ภายหลังจำเลยทั้งสองไม่ทำความสะอาด ฯลฯ จึงเลิกจ้าง จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากบริเวณสุสาน สร้างโรงเก็บถ่านขึ้นในบริเวณทางเข้าสุสานขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวาร และให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนโรงถ่านออกไป
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของ จำเลยที่ 1 ถือสิทธิเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวในฐานะเป็นเจ้าของเป็นเวลา 20 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งมีรายละเอียดดังในฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้ง 2 สำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมศาลไว้ว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2489 เป็นของนายไวตีผู้วายชนม์ซึ่งได้ทำพินัยกรรมสงวนไว้ให้เป็นสุสาน ทายาทได้ดำเนินการตามความประสงค์ โดยจ้างนายเย็นและจำเลยที่ 1 เป็นคนเฝ้าดูแลรักษาความสะอาดในบริเวณสุสาน เมื่อนายเย็นตายแล้ว จำเลยที่ 1และที่ 2 รับหน้าที่แทนต่อมา แต่ไม่เอาใจใส่และเกิดเรื่องกันเสมอจึงเลิกจ้างและให้ออกไปจากบริเวณสุสาน จำเลยทั้งสองดื้อดึงไม่ยอมออก และได้สร้างโรงเก็บถ่านทำให้สกปรกด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องโจทก์ชัดเจนว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งแปลง แม้ในตอนท้ายจะมีข้อความต่อไปว่า “ได้พยายามพูดจาให้จำเลยทั้งสองออกไปเสียจากบ้านเลขที่ 5 อันเป็นบริเวณสุสาน” ซึ่งอาจเข้าใจว่า หมายถึงเฉพาะให้จำเลยออกจากศาลาที่อยู่อาศัย แต่ก็ยังมีคำว่าบริเวณสุสาน ติดต่อกันไป อันหมายความได้ว่า ให้จำเลยทั้งสองออกจากบริเวณสุสานนั่นเอง ทั้งในตอนสุดท้ายของคำฟ้องมีข้อความว่า “จำเป็นต้องฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงถ่านออกไปเสียจากบริเวณบ้านเลขที่ 5 ซึ่งเป็นบริเวณของสุสานด้วย” เห็นชัดว่า โจทก์ต้องการขับไล่จำเลยออกจากที่ทั้งแปลง คำขอท้ายฟ้องที่ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากบ้านเลขที่ 5 อันเป็นบริเวณสุสาน จึงเป็นการขอให้บังคับจำเลยทั้งสองออกจากที่ทั้งแปลงมิใช่เพียงเฉพาะขอให้บังคับจำเลยออกจากศาลาและรื้อถอนโรงถ่านอันมีบริเวณเนื้อที่จำกัด
เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์ทั้งแปลงจำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นที่ดินของจำเลย จึงเป็นคดีพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ของที่ดินทั้งแปลง ซึ่งโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทุนทรัพย์ เป็นการถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตีราคาทรัพย์ที่พิพาทและเรียกค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ฎีกาตามราคาทุนทรัพย์ แต่ที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลสำหรับศาลชั้นต้นไว้ให้ครบ โดยเรียกไว้เพียง 50 บาท เป็นการคลาดเคลื่อนไปนั้น ทำให้เกิดความผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาด ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่น ๆ หรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผล
ส่วนข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท เพราะการครอบครองปรปักษ์ยังไม่ถึง 10 ปี
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมทั้งบริวารออกจากที่พิพาท และให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนโรงถ่านออกไปจากที่พิพาทด้วย