แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 100 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการหรือพนักงานขององค์การและหน่วยงานของรัฐ จะต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ร่วมกันกระทำความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่า 100 กรัม ซึ่งตามมาตรา 66วรรคสองมีโทษสองสถานคือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตเมื่อศาลใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตแก่จำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 6 แล้ว การที่ศาลกำหนดโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5ที่ 7 และที่ 8 ซึ่งเป็นข้าราชการและพนักงานองค์การและหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษให้สูงกว่าโทษของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 นั่นเอง หาใช่เป็นการเปลี่ยนโทษหรือเพิ่มโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิตไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2527 เวลากลางวันถึงวันที่ 6 กันยายน 2527 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดโดยจำเลยที่ 2ที่ 3 เป็นพนักงานสังกัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำเลยที่ 5 เป็นพนักงานสังกัดการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 7 และที่ 8 เป็นข้าราชการทหารประจำการ ได้ร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1 จำนวน 20 ถุง น้ำหนักรวม6,950 กิโลกรัม ราคา 1,042,500 บาท ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาตและไม่เป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ วันที่ 6 กันยายน 2527 เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดคนได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ล่อซื้อในราคา1,200,000 บาท โดยมิได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลท่าอิฐอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งแปดได้พร้อมด้วยเฮโรอีนและรถยนต์เก๋งกับรถยนต์ปิกอัพซึ่งเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดยึดไว้เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15,66, 100, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และริบของกลางด้วย
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งแปดมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสองให้จำคุกตลอดชีวิต ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสองประกอบมาตรา 100 ให้ประหารชีวิต ริบเฮโรอีนของกลางและริบรถยนต์เก๋งกับรถยนต์ปิกอัพ ของกลางซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิ
จำเลยทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 ไว้ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1จำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้องโจทก์จริง และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7และที่ 8 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 66 ประกอบกับมาตรา 100 โดยให้ลงโทษประหารชีวิตนั้นเป็นการเปลี่ยนจากโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษประหารชีวิตหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 66 วรรคสองผู้กระทำผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนซึ่งมีปริมาณคำนวณเป็นสารสุทธิเกิน100 กรัม ต้องระวางโทษเป็นสองสถานคือ จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต และตามมาตรา 100 ถ้าผู้กระทำผิดดังกล่าวเป็นข้าราชการหรือพนักงานองค์การและหน่วยงานของรัฐจะต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 เป็นพนักงานองค์การและหน่วยงานของรัฐ ส่วนจำเลยที่ 7 ที่ 8 เป็นข้าราชการ การลงโทษจำเลยดังกล่าว ต้องปรับเข้าตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 66 วรรคสอง ประกอบมาตรา 100ซึ่งจะต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น แต่เมื่อความผิดมาตรา 66 วรรคสอง กำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษให้สูงกว่าโทษจำคุกตลอดชีวิตซึ่งลงแก่จำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 6 นั่นเอง หาใช่เป็นการเปลี่ยนโทษหรือเพิ่มโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิตไม่ ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับการลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.