คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 100 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการหรือพนักงานขององค์การและหน่วยงานของรัฐ จะต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ร่วมกันกระทำความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่า 100 กรัม ซึ่งตามมาตรา 66 วรรคสองมีโทษสองสถานคือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตเมื่อศาลใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตแก่จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 แล้ว การที่ศาลกำหนดโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 ซึ่งเป็นข้าราชการและพนักงานองค์การและหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษให้สูงกว่าโทษของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 นั่นเอง หาใช่เป็นการเปลี่ยนโทษหรือเพิ่มโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิตไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลากลางวันถึงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๗ เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดโดยจำเลยที่ ๒ที่ ๓ เป็นพนักงานสังกัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำเลยที่ ๕ เป็นพนักงานสังกัดการรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยที่ ๗ และที่ ๘ เป็นข้าราชการทหารประจำการ ได้ร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท ๑ จำนวน ๒๐ ถุง น้ำหนักรวม๖,๙๕๐ กิโลกรัม ราคา ๑,๐๔๒,๕๐๐ บาท ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาตและไม่เป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๗ เวลากลางวัน จำเลยทั้งแปดคนได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ล่อซื้อในราคา๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยมิได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลท่าอิฐอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งแปดได้พร้อมด้วยเฮโรอีนและรถยนต์เก๋งกับรถยนต์ปิกอัพซึ่งเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดยึดไว้เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๑๕,๖๖, ๑๐๐, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ และริบของกลางด้วย
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งแปดมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๑๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๖ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสองให้จำคุกตลอดชีวิต ลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๗ และที่ ๘ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสองประกอบมาตรา ๑๐๐ ให้ประหารชีวิต ริบเฮโรอีนของกลางและริบรถยนต์เก๋งกับรถยนต์ปิกอัพ ของกลางซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิ
จำเลยทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๗ และที่ ๘ ไว้ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๗ และที่ ๘ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑จำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้องโจทก์จริง และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๗ และที่ ๘ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา ๖๖ ประกอบกับมาตรา ๑๐๐ โดยให้ลงโทษประหารชีวิตนั้นเป็นการเปลี่ยนจากโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษประหารชีวิตหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา ๖๖ วรรคสองผู้กระทำผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนซึ่งมีปริมาณคำนวณเป็นสารสุทธิเกิน๑๐๐ กรัม ต้องระวางโทษเป็นสองสถานคือ จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต และตามมาตรา ๑๐๐ ถ้าผู้กระทำผิดดังกล่าวเป็นข้าราชการหรือพนักงานองค์การและหน่วยงานของรัฐจะต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ เป็นพนักงานองค์การและหน่วยงานของรัฐ ส่วนจำเลยที่ ๗ ที่ ๘ เป็นข้าราชการ การลงโทษจำเลยดังกล่าว ต้องปรับเข้าตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา ๖๖ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๐๐ซึ่งจะต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น แต่เมื่อความผิดมาตรา ๖๖ วรรคสอง กำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษให้สูงกว่าโทษจำคุกตลอดชีวิตซึ่งลงแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๔และที่ ๖ นั่นเอง หาใช่เป็นการเปลี่ยนโทษหรือเพิ่มโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นประหารชีวิตไม่ ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับการลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ที่ ๕ ที่ ๗ และที่ ๘ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๗ และที่ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share