คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2890-2891/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากทางราชการเข้าไปรังวัดเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วทางราชการมิได้แจ้งหรือฟ้องขับไล่ให้จำเลยออกจากป่าสงวนแห่งชาติ แต่กลับออกประกาศกำหนดให้ผู้ครอบครองที่ดินแจ้งการครอบครองเพื่อจะพิจารณาสอบสิทธิของผู้ครอบครองที่ดิน จำเลยก็ยื่นคำร้องว่าตนมีสิทธิในที่ดินที่ครอบครองภายในกำหนด นอกจากนี้ทางราชการยังเรียกประชุมราษฎรห้ามมิให้บุกเบิกป่าสงวนแห่งชาติต่อไป คงให้ทำกินเฉพาะที่ทำกินอยู่แล้วจึงทำให้จำเลยเชื่อว่าตนมีสิทธิทำกินในที่ดินที่ตนยึดถือครอบครองอยู่จนกว่าทางราชการจะสอบสิทธิของจำเลยเสร็จและแจ้งผลการสอบสิทธิให้จำเลยทราบว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าต่อมาทางราชการแจ้งผลการสอบสิทธิว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดิน ที่จำเลยยึดถือครอบครองอยู่แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดดังฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า จำเลยบังอาจเข้ายึดถือครอบครองแผ้วถางป่าอันเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 6, 14, 31 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 และสั่งให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองสำนวนผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31ฯ

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองสำนวนครอบครองทำกินในที่ดินตามฟ้องมาก่อนที่ทางราชการจะออกกฎกระทรวงกำหนดให้เป็นป่าสงวนโดยเชื่อว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินตามฟ้องมาก่อน จำเลยมิได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายถือว่าขาดเจตนากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ที่แก้ไขใหม่โดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งรับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9ออกจากที่ดินในระยะเวลาที่กำหนดเสียก่อน หากผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจึงจะมีความผิดแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 108 แล้วแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 108 ที่โจทก์ฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าหลังจากที่ทางราชการไปรังวัดเขตป่า ทางราชการมิได้แจ้งหรือฟ้องขับไล่ให้จำเลยทั้งสองออกจากป่าสงวนแห่งชาติ แต่ทางราชการกลับออกประกาศให้ผู้ครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวน และที่สงวนหวงห้ามของทางราชการแจ้งการครอบครองที่ดินภายใน 15 วัน เพื่อจะพิจารณาสอบสิทธิของผู้ครอบครองที่ดินและจำเลยทั้งสองสำนวนก็ยื่นคำร้องว่าตนมีสิทธิในที่ดินที่ครอบครองอยู่ภายในกำหนดแล้ว นอกจากนี้ทางราชการยังได้เรียกประชุมราษฎรห้ามมิให้บุกเบิกป่าสงวนแห่งชาติต่อไป คงให้ทำกินเฉพาะที่ทำอยู่แล้ว จึงทำให้จำเลยทั้งสองสำนวนเชื่อว่าตนมีสิทธิทำกินในที่ดินที่ตนยึดถือครอบครองอยู่ จนกว่าทางราชการจะสอบสิทธิของจำเลยทั้งสองสำนวนเสร็จ และแจ้งผลการสอบสิทธิให้จำเลยทั้งสองสำนวนทราบว่าจำเลยทั้งสองสำนวนไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าต่อมาทางราชการแจ้งผลการสอบสิทธิว่าจำเลยทั้งสองสำนวนไม่มีสิทธิในที่ดินที่จำเลยทั้งสองสำนวนยึดถือครอบครองอยู่แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองสำนวนจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดอาญา จำเลยทั้งสองสำนวนจึงไม่มีความผิดดังโจทก์ฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share