คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ว่าจ้างให้สำนักงานกฎหมาย ท.สืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ สำนักงานกฎหมาย ท.ได้มอบหมายให้อ. ไปดำเนินการการที่ อ. สืบทราบว่าจำเลยที่ 1 มีบ้านและที่ดิน แต่ได้ทำนิติกรรมยกให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบความดังกล่าวด้วยเพราะ อ. มีหน้าที่เพียงสืบให้ทราบเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อโจทก์จะได้ทำการบังคับคดีต่อไปซึ่งเมื่อ อ.ทราบต้องรายงานให้สำนักงานกฎหมายท. ทราบเพื่อรายงานต่อไปยังโจทก์ ดังนี้แม้จะปรากฏว่า อ. ได้ทราบเรื่องการทำนิติกรรมโอนทรัพย์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 แต่โจทก์ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2530กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลในวันนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลในวันที่ 8 มิถุนายน2531 จึงยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2524 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 387,542 บาทพร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อวันที่9 ตุลาคม 2527 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 72576ตำบลลาดยาว (บางเขนฝั่งใต้) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครเนื้อที่ 93.6 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร โดยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ ไม่อาจบังคับคดีกับทรัพย์ดังกล่าวได้และจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะบังคับคดีได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินดังกล่าวหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยรู้จักหรือมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ไม่เคยทราบคำพิพากษาที่โจทก์อ้าง การจดทะเบียนให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามโจทก์ฟ้อง ไม่ได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงในการหย่าระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางดวงตา ศรีศศิ ภรรยาจำเลยที่ 1 และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะโจทก์ฟ้องเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่ทราบถึงการทำนิติกรรมดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดเลขที่ 72576 ตำบลลาดยาว(บางเขนฝั่งใต้) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2527 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า แม้จะรับฟังตามคำเบิกความของนายอวสันต์ แนบชิด พยานจำเลยทั้งสองว่าเป็นผู้ไปยื่นคำขอตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 จริงแต่นายอวสันต์ต้องรายงานผลการตรวจสอบให้ทางสำนักงานของนายอวสันต์ทราบ แล้วทางสำนักงานรายงานให้โจทก์ผู้ว่าจ้างทราบเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2530 ถือว่าโจทก์ได้ทราบในวันดังกล่าวโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2531 จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์จ้างสำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีนายผดุงพันธ์ จันทโรเป็นหัวหน้าสำนักงานให้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 นายผดุงพันธ์มอบให้นายอวสันต์ แนบชิด ดำเนินการนายอวสันต์เบิกความยอมรับว่าไปทำการตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จำนวน 2 ครั้ง เมื่อวันที่28 พฤษภาคม 2530 และ 12 ตุลาคม 2531 เห็นได้ว่านายอวสันต์ได้ทราบเรื่องการทำนิติกรรมโอนทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2530เมื่อนายอวสันต์ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนลจึงมีฐานะเป็นตัวแทนของสำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนลและสำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนลได้รับจ้างสืบหาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จากโจทก์ย่อมเป็นตัวแทนของโจทก์ โจทก์จึงทราบมูลเหตุให้เพิกถอนนิติกรรมแต่วันที่ 28พฤษภาคม 2530 จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เมื่อโจทก์ได้ว่าจ้างให้สำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนลสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้โจทก์สำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ได้มอบหมายให้นายอวสันต์เป็นผู้ไปสืบหา เมื่อนายอวสันต์ไปสืบและทราบว่าจำเลยที่ 1มีบ้านและที่ดิน แต่ได้ทำนิติกรรมยกให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรการที่นายอวสันต์ทราบก็ต้องรายงานให้สำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนลทราบ และสำนักงานกฎหมายเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ต้องรายงานให้โจทก์ทราบเพียงแต่นายอวสันต์ทราบมิได้ถือว่าโจทก์ทราบด้วย เพราะนายอวสันต์มีหน้าที่เพียงแต่สืบให้ทราบเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อโจทก์จะได้ทำการบังคับคดีต่อไป นายอวสันต์มีหน้าที่เพียงแต่จะต้องรายงานต่อไปตามลำดับจนถึงตัวโจทก์ในวันที่ 10 มิถุนายน 2530 ถือว่าโจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลในวันนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลวันที่ 8 มิถุนายน 2531ยังไม่พ้น 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share