คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานกองผู้ช่วยศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินมือเปล่า ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ และไม่มีกรณีที่จะได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่และต้องรับผิดในทางแพ่งต่อโจทก์หรือไม่ ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 363, 91 และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนเสาคอนกรีตและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำคันนาให้อยู่ในสภาพเดิมภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ถ้าไม่ทำให้โจทก์ดำเนินการเองโดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 10,000 บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า จำเลยทั้งสองปักเสาคอนกรีตและล้อมรั้วลวดหนามในที่ดินของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่นอกเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่อยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนางสม ซึ่งต่อมาขายให้จำเลยที่ 2 ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์หรือนางสมและจำเลยที่ 2 จึงไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้ และไม่มีกรณีที่โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2531การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ก็ย่อมเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทของนางสมมาเกิน 1 ปีแล้ว นางสมหรือจำเลยที่ 2ผู้รับโอนที่ดินจากนางสมไม่อาจฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าย่อมครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์ก็หาได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ไม่เพราะโจทก์เพิ่งก่อตั้งสิทธิขึ้นเมื่อปี 2531 จึงไม่ถูกต้อง ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และหากโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองจะมีความผิดตามฟ้องและต้องรับผิดต่อโจทก์ในทางแพ่งตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในปัญหาดังกล่าว แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในคดีส่วนแพ่ง ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share