คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ แม้จำเลยเบิกความรับข้อเท็จจริงใดก็มิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58, 339 บวกโทษที่รอการลงโทษในคดีหมายเลขแดงที่ 2933/2541 ของศาลแขวงพระนครใต้ เข้ากับโทษในคดีนี้และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 656 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้ายในการลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง จำคุก 12 ปีคำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 2933/2541 ของศาลแขวงพระนครใต้ เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้เป็นจำคุก 8 ปี 1 เดือน ที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 656 บาท นั้น ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับทรัพย์ของกลางคืนแล้ว จึงให้ยกคำขอ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรก จำคุก 2 ปีจำเลยให้การรับสารภาพภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนบวกโทษจำคุก 1 เดือน ที่รอไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 2933/2541ของศาลแขวงพระนครใต้ เข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุก 1 ปี 5 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ลักเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปโดยทุจริต คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายด้วยหรือไม่โจทก์มีนายไพรัด ผดาศรี พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุเบิกความเป็นพยานว่าขณะจำเลยขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์เตรียมพาเอาทรัพย์ที่ลักมาจากร้านเกิดเหตุหลบหนีไปนั้น พยานเข้าไปจับไหล่จำเลยไว้แต่จำเลยสะบัดหลุดและวิ่งหนี พยานจึงกระโดดล็อกคอจำเลยแล้วกอดปล้ำต่อสู้กัน ขณะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ พยานรู้สึกว่ามีของแหลมทิ่มแทงที่ชายโครง 2 ครั้ง ของแหลมดังกล่าวยาวประมาณ6 ถึง 7 นิ้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใด เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้อาวุธมีดปลายแหลมขู่เข็ญนายไพรัดว่าทันใดนั้นจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายหากนายไพรัดขัดขืน แสดงว่าจำเลยมีอาวุธมีดและยังไม่ได้แทงทำร้ายร่างกายนายไพรัด ดังนั้น ที่นายไพรัดเบิกความว่า ถูกของแหลมยาวประมาณ 6 ถึง 7 นิ้ว ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใดทิ่มแทงที่ชายโครง2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏบาดแผลและอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเป็นของกลางจึงรับฟังไม่ได้ ส่วนที่นายไพรัดเบิกความว่า มีการกอดปล้ำต่อสู้กันด้วยนั้น นายไพรัดเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าในการกอดปล้ำกันครั้งแรก จำเลยไม่ได้ทำการต่อสู้ จำเลยเพียงแต่ดิ้นรนให้หลุดพ้นเท่านั้น ส่วนการกอดปล้ำกันครั้งที่สองไม่ได้ความว่านายไพรัดกับจำเลยกอดปล้ำต่อสู้กันอย่างไร พฤติการณ์ของจำเลยที่โจทก์นำสืบมาจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายนายไพรัด ลำพังแต่คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้หยิบไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ทำให้นายไพรัดไม่กล้าเข้าใกล้จำเลย เท่ากับเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายนายไพรัดนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ แม้จำเลยเบิกความรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกา คำเบิกความดังกล่าวก็มิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share