คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้จัดการซื้อหุ้นให้จำเลยและออกเงินทดรองแทนจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนั้นแม้จะวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ตกเป็นโมฆะ ก็ไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นบริษัทราชาเงินทุนจำกัด (บริษัทโจทก์) จำนวน 1,400 หุ้นในราคาตลาด โจทก์จัดการซื้อให้โดยออกเงินทดรองค่าหุ้นและค่านายหน้าแทนจำเลย ซึ่งจำเลยได้กู้ยืมเงินจากบริษัทราชามาเก็ตติ้ง จำกัด มาชำระหนี้จำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยบริษัทราชามาเก็ตติ้งจำกัด ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปให้จำเลยกู้อีกต่อหนึ่ง และจำเลยจำนำหุ้นที่ซื้อนั้นไว้แก่บริษัทราชามาเก็ตติ้ง จำกัด บริษัทราชามาเก็ตติ้ง จำกัด เพิกเฉยไม่ทวงหนี้จากจำเลยโจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในนามของโจทก์เอง ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม การเล่นหุ้นตามฟ้องเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้น ไม่เคยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าโจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นให้จำเลยและออกเงินทดรองแทนจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดดังโจทก์ฟ้อง หากคดีฟังได้ว่า โจทก์ซื้อหุ้นและออกเงินทดรองให้จำเลย การที่โจทก์รับจำนำหรือรับหุ้นของตนเองไว้เป็นประกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1143 พระราชบัญญัติการประกอบเงินทุนฯพ.ศ. 2522 มาตรา 20(3) เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 12 และพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 70 เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 จำเลยไม่ต้องรับผิด พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้จัดการซื้อหุ้นให้จำเลยและออกเงินทดรองแทนจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนั้นแม้จะวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ตกเป็นโมฆะ ก็ไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share